ประวัติสุนัขพิทบูล สุนัขสายพันธุ์อเมริกันพิทบูลเทอร์เรีย AMERICAN PIT BULL TERRIER

โดย Pitbull Zone UPDATE 21-4-2561

ประวัติสุนัขพิทบูล สุนัขสายพันธุ์อเมริกันพิทบูลเทอร์เรีย American Pit Bull Terrier

ประวัติสุนัขพิทบูล สุนัขสายพันธุ์อเมริกันพิทบูลเทอร์เรีย AMERICAN PIT BULL TERRIER

เมื่อกองทัพโรมันได้ชัยชนะและเข้าครอบครองเกาะอังกฤษแล้ว พวกเขาได้นำอารยธรรมเข้ามา สร้างถนนหนทาง โบสถ์ ป้อมปราการเมือง ท่อส่งน้ำ วางรากฐาน ภาษาอังกฤษที่เรารู้จักในปัจจุบัน และนำกีฬาเข้ามาชนิดหนึ่งด้วย นั่นคือการนำสุนัขมาต่อสู้กับวัว (Bullbaiting) กีฬาชนิดนี้พัฒนามาจากความเชื่อถืือบูชามิทราส (Mithras) เทพเจ้าแห่งสงคราม ซึ่งมีวัวเผือกหนุ่มตัวผู้เป็นสัญลักษณ์ สำหรับบำรุงจิดใจผู้อยู่ในสงคราม 

ในอดีตกาลนั้นสุนัขพันธุ์ใหญ่ๆ มีอยู่มากมายและมักจะอยู่ในป่า ต่อมาสุนัขเหล่านี้ถูกจับมาเพื่อใช้ในกีฬาดังกล่าว เมื่อกาลเวลาผ่านไปชาวโรมันก็ถูกกลืนรวมเข้ากับเผ่าต่างๆ หรือไม่ก็เดินทางไปรบยังที่ต่างๆ แต่อารยธรรมและกีฬายังคงอยู่และเจริญรุ่งเรืองต่อไป

ในขณะเดียวกันสุนัขก็มีการแบ่งชนิด แบ่งประเภทออกมามากขึ้นเนื่องจากมีการคัดเลือกสายพันธุ์เพื่อใช้ในการกีฬา สุนัขที่แข็งแกร่งฉลาดที่สุดเท่านั้นที่จะอยู่รอดจากการแข่งขันได้ หลังจากที่กาลเวลาผ่านไปหลายศตวรรษ จนถึงต้นศตวรรษที่ 17 ชนชั้นกลางก็ปักหลักฝังลึกในสังคมอังกฤษชนชั้นนี้ได้แก่ พ่อค้า ช่างเงิน ช่างทอง ช่างเหล็ก เจ้าจองที่พักแรม ช่างตัดเสื้อ คนทำขนมปัง ฯลฯ ชนชั้นกลางได้เลียนแบบแฟชั่น ขนบธรรมเนียมต่างๆมาจากชนชั้นสูง รวมทั้งกีฬาการสู้วัวด้วย ในขณะนั้นมีสุนัขอยู่หลายชนิดด้วยกันซึ่งเกือบจะเป็นพันธุ์แท้ทั้งสิ้น ได้แก่ เทอร์เรีย, สุนัขต้อนฝูงสัตว์ (Cattle dog), สุนัขเลี้ยงแกะ (Sheperds), และสุนัขพันธุ์ใหญ่ๆได้แก่ บูล ด็อก (Bull dog) และมัสตีฟฟ์ ซึ่งในสมัยนั้นมีความหมายว่า "สุนัขใหญ่"

นอกจากนั้นก็มี บูล พอล (Bull Paul) ที่น่าสะพรึงกลัวจากสก๊อตแลนด์ และอะลอนท์จากไอร์แลนด์ที่ดุร้ายพอๆกัน สุนัขชนิดต่างๆเหล่านี้ถูกนำมาผสมกับสุนัขที่ยิ่งใหญ่ในอังกฤษ ลูกหลานที่ได้จากการผสมดังกล่าวจึงกลายมาเป็นนักสู้วัว เมื่อถึงคริสศตวรรษที่ 18 ผลจากการผสมพันธุ์ ทำให้ได้สุนัขขนาดใหญ่ ขายาว น้ำหนักตั้งแต่ 80-90 ปอนด์ ลองนึกภาพดูว่าสุนัขที่ไม่ได้รับอาหารตามเวลานั้นจะดุร้ายเท่าใดขนะสู้กับวัวกระทิง

ต้นศตวรรษที่ 18 เป็นระยะเสื่อมสำหรับชนชั้นกลาง การหาวัวมาเพื่อกีฬาโปรดชนิดนี้ กลายเป็นสิ่งที่ยากลำบากขึ้น จนเสื่อมความนิยมไปในที่สุด และใน ค.ศ. 1835 กีฬาชนิดนี้ถูกยกเลิกเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม มีผู้ที่สนใจพัฒนากีฬาแบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งไม่ใช้ทุนรอนอะไรมากนัก นั่นคือการนำสุนัขมาต่อสู้กัน ขณะนั้นยังมีสุนัขตัวใหญ่ดุร้ายที่หลงเหลือมาจากการสู้วัวเป็นจำนวนมาก แต่สุนัขเหล่านี้ไม่คล่องแคล่ว ว่องไว ปราดเปรียว เพียงพอที่จะทำให้กีฬาใหม่นี้น่าสนใจได้
ชนชั้นอีกชนชั้นหนึ่งที่เรายังไม่ได้กล่าวถึงคือ ชนชั้นต่ำ พวกคนจนนั้นต้องผจญภัยกับสัตว์ที่ทำลายข้าวของชนิดหนึ่งมาตลอด นั่นคือ "หนู" ชนชั้นเหล่านี้พบว่าสุนัขที่ปราบหนูได้คือ "เทอร์เรีย" ขณะนั้นชนชั้นสูงและชนชั้นกลางพัฒนาพันธุ์สุนัขเพื่อการกีฬา คนจนก็ปรับปรุงพันธุ์เทอร์เรีย เพื่อความอยู่รอดของตนเอง เทอร์เรียซึ่งมีตัวเล็ก คล่องแคล่วกำลังดี หาอาหารกินเอง จากการที่มีหน้าอกกว้างทรงพลัง ทำให้มันสามารถขุดไล่หนู่ออกจากรูได้ บรรดาหมาจิ้งจอกที่มาขโมยกินลูกไก่ หรือหนู ต่างก็ตกเป็นเหยื่อของเทอร์เรีย

การแข่งขันสำหรับเทอร์เรียคือ การแข่งขันจับหนู (Ratting) ก่อนอื่นจะมีการจับหนูมาใส่ไว้ในกรง ขุดหลุม และวางเดิมพัน จากนั้นจึงปล่อยสุนัขและหนูลงหลุม เทอร์เรียที่จับและฆ่าหนูได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ ส่วนเจ้าของก็กลับบ้านพร้อมเหรียญเงินเต็มกระเป๋า
เทอร์เรียที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมามีหลายชนิด ในที่นี้จะกล่าวถึงแต่ที่สำคัญเท่านั้น อิงลิช ไวท์ เทอร์เรีย (English White Terrier) ซึ่งสูญพันธุ์ไปในตอนต้นศตวรรษที่ 19 นั้น มีลักษณคล้ายคลึงกับแมนเชสเตอร์ เทอร์เรีย ในปัจจุบัน แต่ศรีษะจะดูใกล้มาทางอเมริกัน (พิท) บูล เทอร์เรีย แต่ อิงลิช ไวท์ เทอร์เรียเป็นนักสู้ตัวยง แต่อาจจะไ่ม่เท่าชนิดน้ำตาล - ดำ (Black and Tan) ซึ่งสือต่อมาเป็นแมนเชสเตอร์ เทอร์เรีย นอกจากนี้แล้วก็ยังมี ฟ๊อกซ์ เทอร์เรีย (Fox terrier) ซึ่งใหญ่กว่าเล็กน้อย และเก่งในการจับและฆ่าสัตว์ใหญ่กว่าที่มาลักขโมยอาหารของชาวนา

ไม่มีใครทราบว่าผู้ใดเป็นต้นคิดในการนำบูล ด็อก (Bull dog) มาผสมกับเทอร์เรียที่คล่องแคล่วว่องไว แต่ว่าผู้ที่ผสมพันธุ์ทั้งสองได้สำเร็จ คือพวกคนงานเหมืองถ่านหินและคนงานโรงเหล็กในบริเวณสแตฟฟอร์ดเชียร์ในภาคกลางของอังกฤษ โดยเรียกสุนัขนี้ว่า บูล แอนด์ เทอร์เรีย (Bull and Terrier)
บูล แอนด์ เทอร์เรีย ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่คนที่ชอบกีฬา เนื่องจากมีขนาดกะทัดรัด จึงอุ้มไปไหนมาไหนได้สะดวก กินไม่จุ และให้โอกาสผู้โปรดการกีฬาเข้ามีส่วนร่วมด้วย ขณะเดียวกันก็มีการตั้งกฏเกณฑ์ ต่างๆขึ้นมา โดยใช้เกียรติเป็นประกัน ข้อลักษณะประการสำัคัญที่สุดของพันธุ์ใหม่นี้คือ ต้องชอบคนตามแบบเทอร์เรีย ซึ่งทำให้เจ้าของสามารถไปอยู่ในการแข่งขันได้ โดยใช้มือและเสียงกระตุ้นสุนัขของตน ข้อนี้อาจจะแตกต่างไปจากการสู้วัว ซึ่งจะจำกัดบทบาทเจ้าของ ปล่อยให้คนดูเป็นกองเชียร์เท่านั้น

ในสมัยต้นๆ กีฬาชนิดนี้จะแข่งกันตามสนามสู้วัวเก่าๆมุมถนนโรงนาต่างๆ ในช่วงดังกล่าวนี้เองชนชั้นกลางก็มีบทบาทในสังคมมากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และหันมาชอบกีฬาใหม่ และบูล แอนด์ เทอร์เรีย ไม่นานนักในผับ (Pub) และที่พักริมทางแทบทุกแห่งก็มี "สนามประลอง" ข้างๆห้องบ้างหรือในห้องโถงบ้าง ตามแต่ขนาดของสถานที่ สนามประลองเหล่านี้เรียกกันว่า "พิท" หรือ "หลุม" (pit dogs) ในสมัยนั้นการอุ้ม บูล แอนด์ เทอร์เรีย เดินไปในเมืองจึงถือเป็นเรื่อง โก้เก๋ เมื่อเข้าไปในบาร์แล้วทุกๆคนสามารถจะมาพินิตติชมสุนัขตัวนั้นๆได้ และลงมือวางเดิมพันกัน โดยเจ้าของบาร์หรือเจ้าของที่พักริมทางจะเป็นผู้ถือเงิน

ขณะเดียวกัน บูล ด็อก (Bull dog) พันธุ์เดิมก็หายากขั้นทุกที เนื่องจากถูกนำมาเป็นพ่อพันธุ์เพื่อผลิดพันธุ์ใหม่ๆ ที่คล่องแคล่วว่องไวมากขึ้น น้อยคนนั้นที่จะอุทิศตนให้กับการเก็บรักษาพันธุ์นี้ไว้ตามแนวทางของชาวโรมันโบราณ คนเหล่านี้ได้แก่ เจ้าของที่ดิน ซึ่งพอจะมีอำนาจการเงินเพียงพอที่จะนำสุนัขพันธุ์ใหม่จากจีน ซึ่งสร้างความตื่นเต้นฮือฮาในหมู่ผุ้สูงศักดิ์ในสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ ไชนีส ปั๊ก (Chinese Pub) จากนั้นคนกลุ่มนี้ก็ค่อยๆพัฒนาพันธุ์ใหม่ โดยนำบูล ด็อก มาผสมกับปั๊ก และให้กำเนิดพันธุ์ขาสั้นหางม้วน ลำตัวกว้าง ซึ่งเราเรียกว่า บูล ด็อก (Bulldog) ในปัจจุบัน
บลู แอนด์ เทอร์เีรีย จากสแตฟฟอร์ดเชียร์ ได้รับการยกย่องเรื่อยมาในด้านความเป็นนักสู้และสมรรถนะ อาจจะเป็นเพราะเหตุผลที่ว่าสังคมชาวเมืองเป็นสังคมที่ผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น ที่ทำใ้ห้สุันัขชนิดนี้มีแบบฉบับที่แน่นอน ต่อมาผู้คนจึงพากันเรียกมันว่า สแตฟฟอร์ดเชียร์ บูล เทอร์เรีย (Staffordshire Bull Terrier) แต่กว่าชื่อนี้จะกลายเป็นชื่อที่ใช้เรียกเป็นทางการก็ล่วงมาถึง ค.ศ. 1953 แล้วเมื่อสมาคมผู้เลี้ยงสุันัขแห่งอังกฤษยอมรับเป็นพันธุ์แท้

จากนี้เราขอกลับไปกล่าวย้อนไปในประวัติศาสตร์กันอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้จะเป็นซีกโลกตะวันตก การที่อังกฤษได้อเมริกาและแคนาดาเป็นอาณานิคมใน "โลกใหม่" นั้น เทอร์เรียเป็นที่ต้องการมากเท่ากับ "โลกเก่า" (ยุโรป) ไม่ว่าผู้ใดจะไปตามที่แห่งใดก็มักจะพาสุนัขไปด้วย นอกจากนี้การใช้บูล ด็อก ดุร้าย เพื่อพิทักษ์ตนเองจากการปล้นสะดมแล้ว ผู้คนเหล่านี้ยังต้องการสันทนาการ และนำสุนัขมาใช้ในการกีฬาด้วยเช่นกัน เื่มื่อกาลเวลาผ่านไป บูล แอนด์ เทอร์เรีย ชนิดหนึ่งก็พัฒนาขึ้นมา โดยมีกระดูกใหญ่กว่าและน้ำหนักใหญ่มากกว่าญาติชาวอังกฤษของมัน

หลังจากสงครามกลางเมืองไม่นาน บรรดาพ่อค้า กลาสี คนค้าขาย ได้นำสุนัขอังกฤษเข้ามาในอเมริกา และกีฬาการจับสุนัขมาต่อสู้กันก็แพร่หลายไปในเมืองต่างๆ บูล แอนด์ เทอร์เรีย จากอเมริกาและจากอังกฤษจึงมีการผสมข้ามพันธุ์กัน และพัฒนาคุณลักษณะดีขึ้นเรื่อยๆจากความพยายามของผู้โปรดปรานกีฬาชนิดนี้

ซี.บี. เบ็นเน็ทท์ ผู้โด่งดังในฐานะนักกีฬาผู้รักสุนัขและนักผสมพันธุ์สุนัขคนหนึ่ง ได้จัดทำหนังสือพ่อพันธุ์ขึ้นมาเล่มหนึ่ง และจัดตั้งสำนักงานจดทะเบียนใน ค.ศ. 1898 เขาเป็นผู้ตั้งชื่อพันธุ์ว่า อเมริกัน (พิท) บูล เทอร์เรีย นอกจากนั้นเบ็นเน็ทท์ยังเป็นผู้กำหนดกติกาสำหรับการต่อสู้ระหว่างสุนัขและตั้งมาตรฐานเป็นทางการ ซึ่ง ใช้กันมาถึงทุกวันนี้ เบ็นเน็ทท์ยังเป็นผู้จัดตั้ง ยูไนเต็ท เค็นเนล คลับ (United Kennel Club) ขึ้นเมื่อ 77 ปีก่อน เพื่อรับจดทะเบียนอเมริกัน (พิท) บูล เทอร์เรียโดยเฉพาะ ต่อมาสมาคมแห่งนี้จึงได้กลายเป็นสำนักงานทะเบียนใหญ่เป็นอันดับสองในอเมริกา
อเมริกัน (พิท) บูล เทอร์เรีย จัดว่าเป็นสุนัขที่มีพละกำลังมากที่สุดเท่าที่พัฒนากันมา ขณะเดียวกันก็มีความจงรักภักดี และมีอารมณ์คงที่ต่อคน ข้อน่าสังเกตที่สุดของสุนัขพันธุ์นี้คือ ประโยชน์ที่มีอยู่หลายด้านด้วยกัน เราต่างก็ทราบถึงความโด่งดังในสังเวียนมาแล้ว ดังนั้นจึงจะกล่าวถึงแต่คุณสมบัติที่ไม่ใคร่มีใครทราบกันนัก

ธรรมชาติของอเมริกัน (พิท) บูล เทอร์เรียนั้นชอบการล่า และได้รับการฝึกหัดมาให้ล่าสิ่งต่างๆทุกชนิด ตั้งแต่นกไปจนถึงหมูป่า ความกล้าที่ฝังลึก ความทรหดบึกบึน และทนต่อความเจ็บปวดสูง ทำให้มันทนบาดแผลได้โดยไม่มีเสียงร้องเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่นักสู้หมีหรือแมวป่าที่ดี เนื่องจากมันมักจะกัดชนิดไม่ปล่อย ซึ่งมักจะนำความหายนะมาสู่ตัวของมันเอง 
ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินว่าสุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขชนิดที่กัดคนไม่เลือกหน้ามันจะมีความสามารถแยกแยะได้ ระหว่างการก้าวร้าวและการเล่นหยอก ดังนั้นจึงเป็นเพื่อนเล่นที่ดีของครอบครัว ซึ่งจะทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องถ้าต้องการ อเมริกัน (พิท) บูล เทอร์เรียนั้นอดทนต่อเด็กๆได้สูงจนน่าแปลกใจ และไม่ถือสากับการที่เด็กๆเล่นแรงๆกับมัน

ลักษณะสำคัญที่สุดก็คือความสามารถในการปรับตัว อเมริกัน (พิท) บูล เทอร์เรีย อยู่ได้ทั้งในอพาร์ทเมนต์ บ้านต่างระดับแถบชานเมือง ฟาร์ม หรือในคอกสุนัข ขนที่ร่วงนั้นมีปริมาณน้อยมาก ทั้งนี้เพราะขนของมันสั้นมาก การดูแลทำความสะอาดก็มีเพียงดูแลฟันไม่ให้มีคราบ กำจัดเห็บหมัดและสิ่งสกปรกที่หู และฝนเล็บให้เท่านั้นการต่อสู้รักษาตัวรอดโดยใช้พละกำลังและไหวพริบมาเป็นเวลาศตวรรษๆที่ได้สั่งสมมา ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เฉลียวฉลาดมาก เมื่อรวมเข้ากับความพร้อมที่จะเอาใจด้วยแล้ว อเมริกัน (พิท) บูล เทอร์เรีย จึงเป็นสุนัขที่ฝึกง่าย และไม่ใคร่ลืมสิ่งที่มันได้เรียนมา นอกจากนี้ยังมีช่วงความสนใจยาวนานและมีความคิดของตัวเอง ดังนั้นจึงมักจะหักเหลี่ยมลบคมเจ้่านายได้บ่อยครั้ง

ในต้นศตวรรษที่ 19 อเมริกัน (พิท) บูล เทอร์เรีย เป็นหนึ่งในบรรดาพันธุ์ยอดนิยมในอเมริกา ข้อพิสูจน์ประการหนึ่งได้แก่ รูปที่ปรากฏอยู่บนผลิตภัณฑ์ของ อาร์ ซี เอ ซึ่งมุ่งหมายถึงภาพสุนัขที่ซื่อสัตย์ ภักดีต่อ โท มัส อัลวา เอดิสัน ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สุนัขพันธุ์นี้ถูกใ้ช้เป็นสัญลักษณ์แทน โอลด์ กลอรี (Old Glory) ธงชาติสหรัฐอเมริกา ขณะที่อิงลิช บูลด็อก ใช้แทนธง "ยูเนียนแจ็ค" และเฟร้นซ์ บูลด็อก แทนธง "ไตรคัลเลอร์" (Tricolore) ของฝรั่งเศส ประวัติของสุนัขพันธุ์นี้จะสมบูรณ์ไม่ได้เลยหากไม่กล่าวถึง พีต (Pete) สุนัขที่มีวงแหวนรอบตา เพื่อนของเด็กๆในเรื่อง "เอาเวอร์ แก๊ง" (Our Gangs) พีตเป็นสุนัขสแตฟฟอร์ดเชียร์ เทอร์เรีย ตัวแรกที่ขึ้นทะเบียนกับสมาคมผู้เลี้ยงสุนัขแห่งอเมริกา
ริชาร์ด เอฟ. แสตรทตัน นักเขียนชาวอเมริกัน ชี้ให้เห็นว่าหลักฐานยืนยันเกี่ยวกับสายเลือดพันธุ์นี้มีอยู่มากมาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเวลาและการอ้างอิงด้านภูมิศาสตร์ ด้วยเหตุนี้มัสติฟฟ์ โมลอสซา (Molossa) แบนด็อก (Bandog) บูลด็อก (Bulldog) บูลเล็นไบเซอร์ (Bullenbeiser) แบเร็นไบเซอร์ (Baerenbeiser) บูลพอล (Blue Paul) เร็ด สมัท (Red Smut) และชื่ออื่นอีกมากมาย อาจจะใช้เรียกสุนัขสายพันธุ์เดียวกันก็เป็นได้

จุดอ่อนที่สำัคัญของความเห็นที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็คือ ความคิดเห็นเหล่านี้มาจากข้อเขียนในตอนปลายของศตวรรษที่ผ่านมานี้เอง ในขณะนั้นนักเขียนเรื่องสุนัขมีจำนวนน้อย และไม่ว่าสิ่งใดที่เขียนออกมานั้นจัีดเป็นพยานหลักฐานชนิดคำให้การเท่านั้น ซึ่งโดยทั่วๆไปแล้วจะเป็นพยานหลักฐานที่อ่อนที่สุด
ตามที่มีผู้กล่าวว่าเื่มื่อการสู้วัวกลายเป็นกีฬาผิดกฏหมาย การต่อสู้ระหว่างสุนัขจึงได้กลายเป็นกีฬาที่นิยมกัน และบูล ด็อกดั้งเดิมนั้นใหญ่เกินไปและไม่คล่องแคล่วว่องไวสำหรับกีฬาชนิดนี้ หลักฐานจากภาพเขียนและภาพแกะสลักที่บ่งบอกว่าการจับสุนัขมาต่อสู้กันมีมานานก่อนที่การสู้วัวจะหมดความนิยมไป และบูล ด็อกก็ต่อสู้กับสัตว์ป่าได้ทุกชนิด รวมทั้งสิงห์โตด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจัดเป็นมือหนึ่งในเรื่องการต่อสู้ระหว่างสุนัขกับสุนัข ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะทำให้เชื่อได้ว่ามันไม่คล่องแคล่วว่องไว อันที่จริงแล้ว มันควรจะต้องว่องไวอยู่แล้วในการต่อสู้กับวัว

คำกล่าวที่ว่าในประเทศบางประเทศ เช่น ไอร์แลนด์และอังกฤษ ผู้คนได้เริ่มชอบสุนัขชนิดเล็กๆ ในการต่อสู้ เพราะอุ้มพา ซ่อนง่าย และประหยัดค่าอาหารนั้นอาจจะเป็นจริงได้ แต่อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผู้ผสมพันธุ์ต้องทำก็คือเลือก บูล ด็อก ตัวที่เล็กกว่ามาเป็นพ่อพันธุ์ การผสมข้ามพันธุ์เป็นเรื่องไร้เหตุผลเพราะจะทำให้สูญเสียความเป็นนักสู้ และความสามารถด้านต่างๆไป

ส่วนการคาดเดาว่าบูล ด็อก สมัยก่อนถูกผสมข้ามพันธุ์กับปั๊ก ทำให้ได้ลักษณะจมูกย่นไปนั้น ท่านผู้อ่านควรจะทราบว่าแต่เดิมมีบูล ด็อกอยู่สองแบบ แบบที่หนึ่งนั้นเขาเลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยง อีกแบบหนึ่งเลี้ยงไว้ต่อสู้ ล่าสัตว์หรือสู้วัว การผสมกันระหว่างทั้งสองแบบอาจจะมีอยู่บ้าง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ลักษณะจมูกย่นนั้นมีมาเนิ่นนานแล้ว และอาจจะเป็นผลจากการเลือกผสมพันธุ์ ซึ่งเริ่มจากการสุ่มใช้สุนัขตัวอย่าง

สาระน่ารู้ที่เกี่ยวข้อง