หัวข้อกระทู้
ข่าวสาร
เข้าสู่ระบบ
ยินดีต้อนรับครับ
ขอแนะนำให้ทุกท่าน สมัครสมาชิก เพื่อป้องกันการแอบอ้างชื่อครับ
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
หมวด
หัวข้อทั้งหมด
36,995
General Issues กระทู้ทั่วไป
27,550
All Gangster กลุ่ม ชมรม คอก ฟาร์ม
87
กฎระเบียบ การขึ้นทะเบียนสุนัข ABC
9
Dog for Sale ตลาดซื้อขาย
7,857
Products & Service สินค้าและบริการ
407
ผลิตภัณฑ์/อาหารสุนัข
26
Activities กิจกรรม
138
Knowledge สาระ
880
Hit Questions/ คำถามยอดฮิต
10
สมาชิกใหม่อยากให้อ่าน !!
31
Mark Mafia
เทคนิคการให้อาหารสุนัข
74
พิตบูลกำลังจะกลายเป็นหมาจร !!
96
เปิดตัว เดอะ เฮอร์ริเคน ดุ๊ก
34
ก่อนลงขาย ขอความร่วมมือจากส...
213
เปิดตัว เดอะ เรด กราม ล๊อค
199
ช่วยแนะนำหน่อยคะ... เจ้าหมา...
49
มือใหม่อยากให้อ่าน
64
เล่นบอร์ดนี้ ให้มีความสุข
60
Welcome to Pitbull Cafe'
1118
ทำไมถึงต้อง พิตบูล
47
Pitbullzone Radio สถานีวิทย...
59
เปิดตัว The Red Warrior Dae...
79
ผลิตภัณฑ์สร้างกล้ามเนื้อ "พ...
527
คำคม วลีเด็ด มาร์ค มาเฟีย
49
ประสบการณ์จริงของการเลี้ยงห...
105
มาร์ค มาเฟีย อยากบอก !!!
81
รวมคลิป ฝึกหมาจาก PitbullZo...
43
Gramlock , the first time o...
195
ถึงมือใหม่ทุกท่าน ด้วยความป...
105
นโยบาย ปี2555 ของเว็บ Pitbu...
62
เป็นไปได้ไหม ???
165
ความแตกต่างของเอฟวันแต่ละรุ่น
79
เรียนมาเพื่อแจ้งให้ทราบ
41
กองทุน Pitbullzone (ABC)
43
ชะตาฟ้าหรือจะสู้มานะตน
133
รักหมาจริงหรือว่ารักตัวเองก...
128
สินค้าที่ระลึก Pitbullzone
9
ประวัติพิทบูล นักสู้ตลอดกาล...
96
ลงรูปครับ(สำหรับคนไม่รู้)
6
French-Bulldog กิน F1 ได้มั...
78
Proudly to present The Stro...
64
General Issues กระทู้ทั่วไป
อยากถามว่าเป็นขี้เรื้อนจะรักษายังไงดีครับ
depardman
ตุลาคม 2008
พอดีผมเพิ่งเลี้ยงพิทบูลอ่ะครับและตอนได้มามันก็เป็นขี้เรื้อนแล้ว
คือเอามันไปหาหมอฉีดยาและได้ยามาทามันก็ดีขึ้น
แต่ผมอยากรู้ว่ามียาอะไรหรืออาหารอะไรที่จะช่วยให้ขนมันขึ้นได้เหมือนเดิมหรือเปล่าครับ
และหมอบอกว่ามันจะต้องฉีดยาไปตลอดทุกๆเดือนจริงหรือเปล่าครับ
หยกComEn
ตุลาคม 2008
อืม หมาหมอได้ยามาก็ถูกแล้วครับ ใช้เวลาไม่กี่เดือนหรอก เดี๋ยวก็ หาย
posh
ตุลาคม 2008
หมาผมก็เคยเป็นครับ(ขี้เรื้อน)
ผมพาไปหาหมอก็ไช้เวลาหลายเดือนครับ
ก็ไม่ดีขึ้นเลยเลยลองไช้วิธีชาวบ้าน.....ชาวบ้านเลยครับ
เขาบอกว่าไห้ไช้นำมันเครื้องเก่าทาทิ้งไว้ซักพักซักแล้วล้างออก
ทำทุกวันครับประมาณ1เดือนจะเห็นผลถ้ายังไม่หายก็ไช้วิธียี้เลยครับ
ไชนำนอไม้ดองราดตรงที่เป็นขี้เรื้อนทิ้งไว้นาน...นานนะครับมันจะแซบน่อย
นะครับมันจะไปกัดเนื้อที่ตายเพื่อไห้ทรางแซวเนื้อขึนมาไหม่ครับไช้เวลา1เดือนเหมือนกันครับ
แต่ลองไช้นำมันเครืองเก่าก่อนนะครับ
ruangthong
ตุลาคม 2008
เรื้อน demodex ใช้เวลานานในการรักษา อาจจะมากกว่า 1 เดือน ครับ
เรื้อน sarcoptes ใช้เวลารักาไม่นาน นานสุดไม่เกิน 1 เดือน ฉีดยาไอเวอร์เมกติน สัปดาห์ละ 1 ครั้งที่ ขนาด 400 ไมโครกรัม/สุนัขหนัก 1 กก. ใต้ผิวหนัง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
เรื้อน demodex ทำลายรากขนด้วยโอกาสขนไม่ขึ้นมีครับ
ส่วนเรื้อน sarcoptes ส่วนใหญ่ไม่ทำลายรากขน ถ้าหายแล้ว มีโอกาสขนขึ้นใหม่ครับ
ส่วนยาทาที่ผิวหนังควรเป็นตัวยา amitraze หรือผงกำมะถันที่มีส่วนผสมของ salicylic acid จะช่วยได้มากครับ
หมอ พิทบูล
Jay_Jay
ตุลาคม 2008
โรคเรื้อนเปียก หรือโรคเรื้อนในรูขุมขน
เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไร เป็นปรสิตภายนอกที่อาศัยในรูขุมขนของสุนัข
ปรกติแล้วไรขี้เรื้อนเปียกสามารถขูดพบได้ในหมาตัวที่ปรกติ
เพียงแต่โอกาสที่เจอนั้นน้อย และไม่อยู่ภาวะที่ก่อให้เกิดรอยโรคได้
กลไกในการเกิดที่ว่านี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เท่าที่ค้นคว้าในปัจจุบันระบุว่า
หมาตัวที่ป่วยเป็นโรคนี้ มีความผิดปรกติของ เม็ดเลือดขาวชนิด T - cell และยังมีระดับของอินเตอร์ลิวคิน-2
ต่ำกว่า หมาปรกติ เจ้าสารอินเตอร์ลิวคิน-2 เป็นสารชีวเคมีที่ร่างกายของสุนัขมีอยู่ทุกตัว
มันทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน เพราะเมื่อสารนี้หลั่งออกมาจะเกิดการกระตุ้น
ให้มีการเพิ่มจำนวน เซลล์ภูมิ คุ้มกัน เพิ่มระดับการทำงาน เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกัน
แต่ถ้าสารที่ว่านี้ลดต่ำลงเมื่อใด เจ้าไรขี้เรื้อนในรูขุมขนจะเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น และตัวมันเองยังเป็นตัวการสำคัญ
ที่จะผลิตสารชีวเคมีซึ่งทำให้เกิดปัญหาการ กดเซลล์ภูมิคุ้มกันด้วย คราวนี้เลยมีช่องทางให้เจ้าเชื้อโรค
คือแบคทีเรียเข้ามาร่วมก่อความเสียหายด้วย สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเนื้อตัวจึงเละตุ้มเป๊ะ ในพื้นที่เกิดรอยโรค
อาการของโรคเรื้อนเปียกมีหลายรูปแบบ เริ่มทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า
อาการเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ มักพบที่บริเวณแก้ม เหนือคิ้ว ขาหน้า โดยหมามีขนร่วง ผิวหนังแดง คันและเกา
มีแผลอักเสบเป็นตุ่มแดงๆ เล็กๆ ตามปรกติแล้วรอยโรคจะเกิดขึ้นเอง และจะหายไปเองได้ภายใน 3-8 สัปดาห์
แต่ถ้ามีอาการอักเสบมีตุ่มหนองด้วยต้องรีบพาสุนัขมารับยารักษาอย่างต่อ เนื่องจนกว่าจะหาย
ตามปรกติแล้วมีสุนัขประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีโอกาสป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่
แล้วพัฒนาเป็นแบบกระจายตัวทั่ว เจ้าของควรหมั่นพาสุนัขของท่านไปตรวจรักษาตามที่สัตว แพทย์แนะนำ
อาการเรื้อนเปียกแบบกระจายเป็นบริเวณกว้าง มักพบว่าหมาตัวที่เป็นมีการอักเสบของผิวหนังรุนแรงมาก
มีขนร่วง มีตุ่มหนองแตกออก เป็นแผลคันเกา รอยโรคพบได้ตั้งแต่ส่วนของใบหน้า ลำตัว ขา และเท้า
เรียกว่ามีอาการอักเสบของรูขุมขนจนมีเลือดออก มีหนองไหลแตกออกมาจากตุ่มที่ติดเชื้อนั้นล่ะครับ
รอยโรคที่เป็นแล้วถือว่ารุนแรงและรักษาได้ยาก คือ เมื่อเป็นทั่วตัวแล้ว เกิดการอักเสบมากที่ผิวหนังส่วนของเท้า
สุนัขที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกที่ลามลงไปถึงที่เท้า นั้นมีอาการเท้าบวม เป็นตุ่มเลือดแตกออกกระจายไปทั่วเท้า
ซึ่งสัตว์จะทรมาน เจ็บปวดมากทีเดียว การตรวจวินิจฉัย โรคเรื้อนเปียกจำเป็นต้องพาสุนัขไปตรวจ
เพื่อให้คุณหมอขูดเอาผิวหนังส่วนที่ลึกถึงชั้นรูขุมขนไปตรวจ เมื่อเก็บตัวอย่างผิวหนังได้
สัตวแพทย์จะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจดูตัวอย่างของผิวหนังซึ่ง อาจจะเป็น หนองหรือเลือด
เวลาพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกมักสังเกตเห็นตัวเรื้อนในตัวอย่างของ ผิหนัง ว่ามีมากมายหลายตัว
และกำลังอยู่ในภาวะที่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น พบตัวเรื้อนตัวแก่ ตัวอ่อน พบไข่
อย่างนี้ล่ะที่เรียกว่ากำลังสร้างปัญหาสุขภาพให้ สุนัขอย่าง มาก
การรักษา โรคนี้เป็นโรคผิวหนังที่ต้องใช้เวลารักษานานมาก ยิ่งในรายที่เป็นแบบกระจายไปทั่วตัว
บางรายอาจต้องให้ยานานกว่า3-8เดือนและต้องได้รับการตรวจเป็นระยะ อย่างเช่น
สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบกระจายไปทั่วตัว และเป็นที่ฝ่าเท้านั้น ใช้เวลารักษานาน
และต้องให้ยาอย่างต่อเนื่อง ท่านอาจถามต่อว่าโรคนี้หายขาดไหม แต่เดิมเชื่อกันว่า รักษาไม่หาย
ปัจจุบันยารักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น สุนัขป่วยเป็นเรื้อนเปียกแบบกระจายทั่วตัวมีโอกาสหาย ขาดได้
จะมีในบางรายเท่านั้นที่ต้องให้ยาควบคุมไปตลอด และมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกหลังจากหยุดให้ยา
เมื่อสุนัขรับยาจนไม่มีอาการผิดปรกติอะไรแล้ว ต้องพาสุนัขมาขูดผิวหนังตรวจซ้ำอีกครั้ง
ว่ามีตัวเรื้อนเปียกอีกหรือไม่ในรอยโรคเดิม ซึ่งต้องขูดตรวจอย่างน้อย 5 จุดของร่างกายเพื่อให้ผลยืนยันได้อย่างชัดเจน
ถ้าขูดผิวหนังตรวจแล้วไม่พบ หลังจากที่หยุดยานานกว่า 2 เดือนนั่นแสดงว่าสุนัขหายจากโรคนี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกเจ้าของต้องหมั่นพ าไปตรวจร่างกาย
แต่ถ้าเริ่มมีตุ่มคล้ายสิวขึ้นแบบกระจายตัว ขนเริ่มร่วง และสุนัขคันเกาต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที
เรื่องการรักษาตามความเชื่อแบบแปลกๆ ที่เคยได้ยินมา เช่น
นำกำมะถันทาทั้งตัวสุนัขหรือบริเวณที่เป็นรอยโรค
ในรายที่เป็นเรื้อนเปียกแบบรุนแรงกระจายทั่วตัวไม่ควรใช้แล้ว
ควรพาไปให้สัตวแพทย์รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันดีกว่า
บางรายหนักยิ่งกว่าใช้น้ำมันเครื่องทาตัวหมาบ้าง นำน้ำหน่อไม้ดองมาอาบให้บ้าง
ไม่ควรใช้ครับโรคนี้ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเท่านั้น
ที่สำคัญโรคนี้เป็นแล้วหายช้าอยู่แล้ว การรักษาตามความเชื่อที่ผิดๆ อย่างนี้คงส่งผลไม่ดีแน่
คัดลอกมาจาก "เรื่องน่ารู้ของหมาๆภาคขี้เรื้อน" คะ
Jay_Jay
ตุลาคม 2008
เพื่อความต่อเนื่องต้องมาคุยถึงโรคเรื้อนแห้งกันต่อ
จะได้เข้าใจว่าลักษณะของโรคทั้งสองประเภทนั้นมันแตกต่างกันอย่างไรและแค่ไหน
สาเหตุของโรคเรื้อนแห้ง เกิดจากสุนัขป่วยติดเชื้อปรสิตภายนอก เป็นตัวไรเล็กๆ
อาศัยอยู่บนผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ไม่ได้อาศัยลงลึกไปกว่านั้น เจ้าไรที่ว่านี้มีขนาดเล็กมาก
ทั้งยังสามารถสืบพันธุ์ ออกไข่ให้ลูกให้หลานได้อีกมากมาย
ปัญหาที่มักถามกันมากก็คือ ติดโรคนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน
เหตุที่ว่าเกิดได้จากการเล่น สัมผัสและคลุกคลีกับตัวที่ป่วยเข้าจนเกิดการถ่ายทอด
เจ้าไรตัวนี้ต่อกันไป ที่สำคัญอีกประการคือเรื่องของสภาพแวดล้อมในบ้านเมืองของเรา
มีสุนัขจรจัดเยอะ เรียกว่าเดินไปตรอกไหน ซอกไหน ซอยไหนมีอันต้องได้เจอ
นี่เองแหละที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจายของโรค ได้เร็วและต่อเนื่อง
สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการคันมาก และเมื่อคันเกาบริเวณที่เป็นรอยโรค
จะมีชิ้นส่วนของสะเก็ดผิวหนังที่ปลิว กระจายล่วงออกมาจากตัวสุนัข
หากสุนัขอีกตัวไปนอนทับหรือเกลือกกลิ้งย่อมมีโอกาสจะ ติดเ ชื้อ จนอาจป่วยเป็นโรคเรื้อนแห้งได้
เนื่องจากเจ้าไรขี้เรื้อนนี้มีชีวิตได้นานกว่า 2 วัน เมื่อหลุดร่วงจากผิวหนังของสุนัขตัวที่ป่วยยิ่งเพิ่ม
โอกาสที่จะ ไปติดต่อกับ สุนัขตัวอื่นได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ท่านไม่ได้พาสัตว์เลี้ยงออกไปนอกบ้ าน
แต่ถ้าสุนัขของเราชอบนอนใกล้รั้วบ้าน และหากรอบๆ บ้านมีสุนัขจรจัดตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งอาศัยอยู่
ย่อมมีโอกาสติดโรคได้เช่นกัน
อาการของสุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง เริ่มต้นจะมีอาการคันตัว คันที่ขอบใบหูทั้งสองข้าง
และคันที่ศอกด้านข้าง ถ้าสังเกตให้ดีจะพบเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นที่ผิวหนัง บริเวณที่เห็นชัดเจนมักเป็นที่ท้อง
หรือบริเวณขาหนีบ และบั้นท้าย จากนั้นจะเริ่มมีอาการคันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งขนบนตัวสัตว์เริ่มร่วง ตำแหน่งที่พบชัดเจน คือที่ขอบใบหูสองข้าง และศอกด้านข้าง
ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเริ่มเป็นสะเก็ดแผลที่หนาตัวขึ ้น เมื่อแผลนั้นเริ่มแตกออกมากขึ้นเรื่อยๆ
อาการขนร่วงจะค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วตัว ทีนี้สะเก็ดแผลบนผิวหนังจะเริ่มเกิดขึ้นทั่วตัว
เหมือนกับเจ้าสุนัขหนังกลับที่เราเห็นข้างถนนนั่นล่ะ คือสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง
การตรวจวินิจฉัย ในเบื้องต้นเราควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงของเราเองก่อน
ซึ่งการทดสอบที่ได้ผลค่อนข้างแม่นยำในการตรวจโรคนี้ เรียกว่า การทำ Pinna-pedal reflex test
การทดสอบทำได้ง่ายมาก เวลาที่สุนัขป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งจะมีตำแหน่งที่ คันมากๆ อยู่ 2 จุด
ดังที่กล่าวมา คือที่ปลายใบหูสองข้างนั้น และที่ข้อศอกด้านข้าง
ถ้าเราจับสุนัขมาทดสอบโดยการเอานิ้วมือขยี้ที่ปลายใบ หูเบาๆ แล้วสุนัขเอาเท้าหลังข้างนั้นเกาที่ศอกด้านนั้น
ก็น่าสงสัยครับว่าทำไมสุนัขของเราถึงคันได้ เพราะอาการดังกล่าวแสดงว่าสัตว์คันมากที่ปลายใบหู
และที่ศอกด้วย และโรคผิวหนังที่จะเกิดขึ้นได้มีไม่กี่โรคหรอก ที่สำคัญคือโรคขี้เรื้อนแห้งนี่แหละ
แต่การที่เราจะสรุปปัญหาการป่วยว่าใช่โรคขี้เรื้อนแห ้งหรือไม่น ั้น
คงต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นรอยโรคที่ปรากฏ
การทดสอบทำ Pinna-pedal reflex test การขูดผิวหนังเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาตัวไรขี้เรื้อน
ทุกอย่างจะสอดคล้องกันแม้ว่าการขูดผิวหนังเพื่อหาไรรขี้ี้เรื้อนอาจจะไม่พบ
เพราะถ้าอยู่ในระยะเริ่มต้นมักจะขูดผิวหนังไม่พบ
การรักษาโรคขี้เรื้อนแห้ง สามารถทำได้หลายวิธี ที่นิยมกระทำ คือ
การให้ยาโดยการฉีดเพื่อรักษา ซึ่งได้ผลดีแต่ก็ต้องทำซ้ำทุกๆ 10-14 วันครั้ง
จนกว่าสุนัขจะหายสนิท ในกรณีที่เราเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว
เราต้องพาสัตว์เลี้ยงทุกตัวมารับการรักษาด้วย เพราะโรคนี้ติดต่อได้ง่ายและติดต่อได้ไวมาก
ถ้าเราไม่สนใจนำสุนัขมารับการรักษาพร้อมๆ กันจะทำให้เกิดปัญหาการป่วยวนเวียนอยู่ในฝูงสุนัข
เพราะเมื่อตัวที่เป็นหาย ตัวที่ได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการอีก
และถ้ายาเสื่อมฤทธิ์เมื่อไหร่ สุนัขจะเริ่มมีอาการป่วยอีกเช่นกัน
เจ้าตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งนั้นมีความน่ารัง เกียจอยู่แล้วเพราะสัตว์เองแทบจะไม่มีขนอยู่บนผิวหนังเลย
บางตัวมีสะเก็ดคัน มีแผลแตกระแหงมากมายบนผิวหนัง มองยังไงก็ไม่น่ารัก ไม่น่าสัมผัส
จริงๆ แล้วถ้าท่านเจ้าของอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวที่ป่วยนั้นมาร ักษา ถึงแม้ว่าจะไม่มีขนเลยแม้แต่เส้นเดียว
และมีแผลมากมาย แต่เมื่อได้รับการรักษาแล้วสุนัขของเราก็จะกลับมามีผิวหนังและขนดังเดิม
โรคขี้เรื้อนแห้งนี้รักษาให้หายขาดได้ เพราะฉะนั้นอย่ารังเกียจสุนัข ตัดสินใจรักษาแต่เนิ่นๆ
ก่อนที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนจนทำให้ผิวหนังอักเสบรุนแรงตามมา
อาการแทรกซ้อนของ สุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง อาการที่พบได้
มักมีมูลเหตุจากการคัน สุนัขบางตัวมีอาการคันเกาหูจนใบหูบวม มีเลือดคั่ง
ทำให้เราต้องตามมารักษาอาการดังกล่าวอีก หรือบางตัวเอาตัวถูไถกับพื้น เลีย และงับตรงผิวหนัง
ที่คันทำให้เกิดอาการแผลแดงช้ำรุนแร ง และเป็นไวมาก อย่างที่บอกไว้นั่นล่ะครับ
โรคขี้เรื้อนแห้งเป็นโรคที่คันสุดๆ จริงๆ
โรค ขี้เรื้อนแห้งติดคนไหม คำตอบ คือ ติดต่อถึงคนได้ โรคนี้ติดต่อจากการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ป่วย
เพราะฉะนั้นเมื่อท่านทราบว่าสุนัขของเราป่วยเป็นโรคน ี้ ควรหยุดกอดและคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงไว้ก่อน
โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ผิวค่อนข้างบอบบาง ควรหยุดกอดรัด หรืออุ้มเจ้าตัวน้อยเลย
โรคที่ติดมาสู่คนนั้นจะมีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นบนผิวหนัง มีอาการคัน และกระจายออกไปได้
ซึ่งถ้ามีอาการเช่นนี้ให้รีบไปหาแพทย์เพื่อรับการรัก ษาอย่างทัน ท่วงที
คัดลอกมาจาก "เรื่องน่ารู้ของหมาๆภาคขี้เรื้อน" คะ
Add a Comment