ยินดีต้อนรับครับ

ขอแนะนำให้ทุกท่าน สมัครสมาชิก เพื่อป้องกันการแอบอ้างชื่อครับ

Mark Mafia

"ช่วยคนก่อน...หมาทีหลัง"
  • สลด! ด.ช.-หญิงใจบุญ ถวายฎีกา ถูกราชการทิ้งลืม
    ไฟล์แนบ
    misc.jpg 26K
  • สลด! "ด.ช.ถวายฎีกา-หญิงใจบุญ" ถูกราชการทิ้งลืม ไม่ช่วยเหลือต่อเนื่อง แถมโดนย้อน"ช่วยคนก่อนหมาทีหลัง"(มติชนออนไลน์)

    หญิงใจบุญครวญจังหวัดทอดทิ้ง หลังพระเทพฯ ทรงให้ผู้ว่าฯ ช่วยเหลือสุนัขพิการ อึ้ง! โดนย้อน"ช่วยคนก่อน ช่วยหมาทีหลัง" ส่วนชีวิต ด.ช.ถวายฎีกา 2 ปีผ่านมา ยังลำบาก ขอทุนศึกษายาก เหตุผู้ว่าฯ ย้าย หน่วยงานลืมช่วยต่อเนื่อง

    ผู้สื่อข่าว "มติชน" รายงานเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ว่า เด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยได้รับความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจากส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และภาคเอกชน ภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ พระราชทานความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ เบื้องต้นมาให้ตามที่ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขึ้นไป นอกจากนี้ สำนักพระราชวังยังได้ประสานให้ส่วนราชการในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลอย่างต่อ เนื่อง แต่มีอีกจำนวนหนึ่งที่ได้รับความช่วยเหลือจากส่วนราชการ และ อปท.ในระยะแรกที่ตกเป็นข่าวครึกโครม แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไปและไม่ได้ติดตามสานต่อ เนื่องจากเปลี่ยนผู้ว่าราชการจังหวัดเปลี่ยนหัวหน้าส่วนราชการ และผู้รับผิดชอบไม่เอาใจใส่

    ทีมข่าวจากส่วนกลางได้ติดตามเรื่องราวของประชาชนที่ถูกส่วนราชการหลงลืมการช่วย เหลือ ภายหลังสำนักพระราชวังประสานงานมาแล้ว เบื้องต้นพบใน 2 จังหวัด ได้แก่ จ.พิจิตร และ จ.อ่างทอง รายแรก ด.ช.ชาตรี นัดดา หรือน้องบุตร อายุ 12 ปี บ้านอยู่ ต.ท่าหลวง อ.เมืองพิจิตร นักเรียนชั้น ป.4 โรงเรียนวัดบึงสีไฟ อ.เมืองพิจิตร ได้ทำหนังสือถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อ ปี 2550 เพื่อขอพระราชทานความช่วยเหลือ เนื่องจากไม่มีทุนการศึกษาและบ้านที่อยู่ทรุดโทรม จนกระทั่งสำนักราชเลขาธิการสำนักพระราชวังมีหนังสือส่งมายังนายปรีชา เรืองจันทร์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร เพื่อลงไปช่วยเหลือในเบื้องต้นจนกระทั่งมีการสร้างบ้านตามโครงการ "เทิดไท้องค์ราชัน 80 พรรษา" นอก จากนี้ยังมีหลายหน่วยงานเข้าไปช่วยเหลือด้านทุนการศึกษา มีบัญชีเงินฝาก 2 บัญชี มีคณะกรรมการดูแล ทำให้ ด.ช.ชาตรี และครอบครัว มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่อดอยากเหมือนที่ผ่านมา

    ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไปว่า แต่หลังจาก นายปรีชาย้ายไปเป็นผู้ว่าฯ ที่อื่น พลอยทำให้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สานต่อ ทำให้ ด.ช.ชาตรี และครอบครัวกลับมายากลำบากเหมือนเดิม ถึงขนาดซื้อข้าววันละ 1 กก. มาหุงกินประทังชีวิต หลังเลิกเรียนและช่วงเวลาเสาร์อาทิตย์ออกไปรับจ้างชาวบ้าน และไปช่วยพ่อแม่เก็บผักมาขาย บางวันไม่มีเงินไปโรงเรียน โดยไม่รู้เรื่องเงินฝากในบัญชีเลยว่ามีเท่าไหร่ สามารถเบิกใช้ได้หรือไม่ในยามอดอยาก

    ด.ช.ชาตรีกล่าวว่า ล่วงเลยมา 2 ปี ชีวิตเริ่มเปลี่ยนไป เพราะหน่วยงานราชการที่เคยช่วยเหลือไม่เคยเข้ามาดูแล หรือสอบถามสภาพความเป็นอยู่เลย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร เงินที่มีผู้บริจาคมาให้ในขณะนั้น มีเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ทางจังหวัดเองไม่เคยแจ้งมาให้ทราบ มารดาเคยเข้าไปติดต่อสำนักงานพัฒนาสังคมความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อขอเบิกทุนการศึกษาก็ได้ยากมากกว่าจะได้เงิน ต้องเดินทางหลายเที่ยว

    "ทุกวันนี้ ผมและน้องชายแทบไม่มีเงินติดตัวไปโรงเรียน บางวันถ้าหาผักตามกลางนาได้มากก็จะมีเงินไปโรงเรียนวันละ 10 บาท ถ้าวันไหนพ่อแม่เก็บผักไปขายได้น้อยก็ไม่มีเงินไปโรงเรียน ต้องขอกินข้าวกลางวันที่โรงเรียน แต่ผมกับครอบครัวไม่ย่อท้อ พยายามดำเนินชีวิตอยู่อย่างพอเพียง เพราะครอบครัวสำนึกในพระคุณในหลวงเสมอที่ท่านทรงช่วยให้เรามีที่อาศัย" ด.ช.ชาตรี กล่าว

    ขณะที่ นางชุติมา นิ่มปานฝ้าย อายุ 51 ปี บ้านอยู่ที่ ต.โพสะ อ.เมืองอ่างทอง เปิดเผยกับ "ทีมข่าวส่วนกลาง" ว่า ได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขอพระราชทานความช่วยเหลือแก่สุนัขที่ถูกทิ้งและไม่มีที่อยู่มาเลี้ยงไว้ใน บ้านพักนานกว่า 30 ปี แต่ขณะนี้ไม่มีเงินพอที่จะซื้ออาหาร ยารักษาโรคให้ เนื่องจากครอบครัวมีเพียงรายได้ของสามีที่ประกอบอาชีพรับจ้าง จึงแบกรับภาระไม่ไหว

    ต่อมาสำนักราชเลขาธิการ โดยคุณหญิงอารยา พิบูลนครินทร์ ราชเลขานุการในองค์สมเด็จพระเทพฯ มีหนังสือที่ รล.0008/5726 ลงวันที่ 12 สิงหาคม 2552 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทองให้พิจารณาช่วยเหลือตามความเหมาะสม แต่จนกระทั่งบัดนี้ ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือแต่อย่างใด ตนและครอบครัวยังแบกรับภาระตามลำพัง จนกลัวว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าหากเลี้ยงไม่ไหว ต้องปล่อยไปเป็นสุนัขจรจัด จะเป็นปัญหาสังคมได้

    นางชุติมา กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาเคยขอเข้าพบผู้ว่าฯ ขอปรึกษาแนวทางการช่วยเหลือ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าพบ กลับพาไปที่สำนักงานจังหวัดซึ่งอยู่ติดกัน แทนที่เจ้าหน้าที่จะให้คำปรึกษากลับแสดงอาการไม่พอใจ พูดตำหนิสารพัด ว่าเลี้ยงไว้ทำไม มิหนำซ้ำยังพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจอีกว่า "ช่วยคนก่อน ส่วนหมาช่วยทีหลัง" พอได้ฟังอย่างนั้นก็กลับบ้านทันที หลังจากนั้นมีเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์เข้ามาฉีดวัคซีน ทำหมัน ส่วนเจ้าหน้าที่สำนักงานเทศบาลตำบลโพสะมาแจ้งว่า เทศบาลมีข้าวสารเป็นมอดจำนวนหนึ่ง สุนัขกินได้หรือไม่ ตนบอกว่ากินได้ แต่เวลาล่วงเลยมาจนบัดนี้ยังไม่ได้ข้าวเป็นมอดหรือได้รับการช่วยเหลือจาก จังหวัด

    "เราไม่ได้ต้องการเงิน เพราะไม่ได้หากินกับสุนัข ใครมีจิตศรัทธาบริจาค ขอให้มอบเป็นอาหาร ยารักษาโรค หรืออื่น ๆ ตามความเหมาะสม เพื่อช่วยเหลือสุนัขที่หลายคนไม่ให้ความสำคัญ" หญิงใจบุญกล่าว

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บ้านดังกล่าวเป็นบ้านชั้นเดียว ตัวบ้านและพื้นที่ใช้สอยถูกดัดแปลงเป็นสถานที่เลี้ยงสุนัขแทบทั้งหมด ขณะนี้มีสุนัขเหลืออยู่ 30 กว่าตัว หลากหลายสายพันธุ์ บ้างซูบผอมเพราะอดโซ บ้างพิการ โดยเฉพาะสุนัขบางตัวเป็นพันธุ์ต่างประเทศมีราคาสูง แต่เจ้าของนำไปปล่อยทิ้งไว้เพราะพิการ นางชุติมาต้องเก็บมาเลี้ยงเพราะสงสาร
  • น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง...
  • พรุ่งนี้ค่อยอ่านครับ คืนนี้ ไปรับภรรยาก่อน
  • ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย

    ทำงานแบบเอาหน้า