ยินดีต้อนรับครับ

ขอแนะนำให้ทุกท่าน สมัครสมาชิก เพื่อป้องกันการแอบอ้างชื่อครับ

Mark Mafia

เซฟไว้ Favorites เลยค่ะ
  • --โมเอาเรื่องน้ำมันปลากับน้ำมันตับปลา / การนวดหมา / ยาที่ดีและไม่ดีกับหมา.. รายละเอียดของยาแต่ละตัวที่เหมาะกะหมามาให้อ่านนะค่ะ มีประโยชน์จิงๆ มันยาวนะ แต่เก็บไว้ก่อนล่ะกันค่อยๆอ่าน


    น้ำมันปลา....
    Omega 6 (Fatty Acids)
    ? พบในน้ำมันพืช, ไขมันสัตว์ จากไก่ เป็ด และหมู
    ? อาหารที่ขาดสารนี้ จะทำให้มีปัญหาโรคผิวหนัง, การให้ลูก และการเจริญเติบโต
    ? แหล่งสาร Omega 6 ที่พบได้อีกหลายอย่าง เช่นใน น้ำมันดอกทานตะวัน, น้ำมันถั่วเหลือง,
    น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันเมล็ดฝ้าย, น้ำมันดอกคำฝอย (ซึ่งมีมากเป็น 1 ½ เท่าของน้ำมันชนิดอื่นๆ),
    น้ำมันถั่ว มี ประมาณ 1/3 ของน้ำมันดอกคำฝอย, น้ำมันลีนสีดและน้ำมันมะกอกประมาณ 1/5
    และ 1/6 ตามลำดับ, น้ำมัน ไก่,หมู มีประมาณ 1/3 ของน้ำมันดอกคำฝอย

    Omega 3
    ? ถ้าขาดสารนี้ จะมีปัญหาด้านประสาทและการมองเห็น (Nervous & Vision)
    และปัญหา ความสามารถในการเรียนรู้ของลูกสุนัข
    1.) ในสัตว์เพศผู้ ต้องการสารนี้ เพื่อกระตุ้นความอุดมสมบูรณ์ของน้ำเชื้อ
    2.) หมาป่า ได้รับสารพวกนี้จาก มันสมอง, ลุกตา, ไข่ดิบ, มูลสัตว์
    และพืชที่ผ่านการบดย่อยแล้วในกระเพาะ อาหารของเหยื่อที่ถูกมันล่าได้
    ? แหล่งที่มาของสารนี้หาได้ง่ายที่สุดคือ เนื้อปลาสด และน้ำมันปลา
    ? ** อาหารสุนัขสำเร็จรูป หรืออาหารที่ปรุงเองโดยขาดความรู้ ความเข้าใจมักจะขาดสารตัวนี้
    นั่นเป็นสาเหตุให้สุนัขในสมัยนี้มีปัญหาเรื่อง ภูมิแพ้ต่างๆ มากมาย ทำให้เป็นโรคผิวหนัง, โรคข้อกระดูกฯลฯ
    ? อาหารจากพืชที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เมื่อกลั่นเป็นน้ำมันแล้วจะมีสาร Omega 3 ค่อนข้างสูง
    1.) นอกจากนี้ยังมี ข้าวโอ๊ต, เห็ด , ถั่วอบ, ผักขม, กล้วย
    ? อาหารจากสัตว์ ที่มีสารนี้มาก คือ พวกตับแกะ และกระต่าย, เนื้อวัวไม่ติดมัน จะมีสารเหล่านี้มากกว่าเนื้อไก่
    ? น้ำมันตับปลา ไม่ควรใช้เป็นแหล่งสาร Omega 3 เพราะจะเสี่ยงต่อการได้รับวิตามิน A และ D มากเกินไป

    วิธีการให้อาหารที่มีสาร Omega 6 และ Omega 3:- ให้อาหารจำพวก

    1. เนื้อดิบ, กระดูกไก่, ไข่, มันสมอง, ตับแกะหรือกระต่าย, ผักใบเขียว, ข้าวโอ๊ต,
    เห็ด, ถั่วอบ, ผักขม และกล้วย โดยให้พร้อมน้ำมันพืชที่กล่าวมาข้างต้น
    2. สำหรับน้ำมันพืช: น้ำมันข้าวโพด และน้ำมันถั่วเหลืองให้สารทั้ง 2 อย่างใน ปริมาณที่สมดุลที่สุด

    ความสำคัญของวิตามิน E

    วิตามิน E จะช่วยไม่ให้เกิดการบูดเสียหรือเหม็นหืนของน้ำมันพืช ที่เราให้สุนัขรับประทาน
    เพื่อสาร Omega ทั้ง 2 โดยน้ำมันที่คุณใช้เป็นอาหารสุนัข ต้องเก็บไว้ในขวดที่มีฝาปิดสนิท
    อากาศไม่สามารถเข้าไปได้ โดยเก็บไว้ในที่มืด จะรักษาคูณภาพได้ดีที่สุด และไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะนำน้ำมันที่ใช้แล้วมาให้สุนัขกิน
    ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสุนัขเป็นอย่างมาก
    ***เพราะฉะนั้น ทางที่ปลอดภัยที่สุดคือให้ไขมันดิบ (แข็ง) เช่นไขมันหมู, ไขมันวัว, ไขมันไก่
    -------------------------------------------

    น้ำมันตับปลา....
    วิตามิน D
    ได้จากแสงแดด โดยให้สุนัขตากแดดโดยตรงวันละประมาณ 15 นาที ก็พอ ทั้งนี้ วิตามิน D จะช่วยให้กระดูกแข็งแรง เต็มไปด้วยแคลเซี่ยม, ซึ่งวิตามิน D นี้จะทำหน้าที่ควบคุมการดูดซึมของแคลเซี่ยมและฟอสฟอร ัส จากลำไส้เล็ก และจากส่วนที่สะสมอยู่ในกระดูกออกมา เพื่อดูดซึมกลับไปใช้ได้อีกโดยผ่านทางไต

    ความต้องการวิตามิน D
    ในสุนัขที่อายุน้อยๆ ที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ และได้รับอาหารที่สมดุลตามธรรมชาติ จากกระดูกและเนื้อดิบ และยังได้รับแสงแดดมากเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องเสริมวิตามิน D

    อาหารที่มีวิตามิน D
    ? น้ำมันตับปลา โดยเฉพาะปลาน้ำเค็ม เช่นปลาเฮอริ่ง, แซลมอน, ซาดีน ฯลฯ ดังนั้นควรให้ปลากระป๋องบ้างเป็นครั้งคราว
    ? ไข่แดง โดยเฉพาะไข่จากไก่ ที่ได้รับอาหารดีๆ หรือได้รับแสงแดดมากเพียงพอ ควรซื้อไข่จากชาวบ้านดีที่สุด

    การได้รับวิตามิน D ในระดับที่มากเกินไป
    จะทำให้ระดับแคลเซี่ยมในเลือดสูงเกินไป เป็นเหตุให้มีแคลเซี่ยมตกค้างทั่วร่างกาย ซึ่งขัดขวางการทำงานของระบบปกติในร่างกาย

    ระดับวิตามิน D ที่ปลอดภัย
    - โดยทั่วไป ในสุนัขที่กำลังเจริญเติบโต ควรได้รับวิตามิน D 22 IU/kg/วัน (ถ้าสุนัขหนัก 30 กก. = 660 IU/วัน)
    - ในน้ำมันตับปลา จะมีวิตามิน D ประมาณ 10,000 IU/100gm.

    ผลจากการขาดวิตามิน D
    - กระดูกโค้งงอ, กระดูกอ่อนแอ ในสุนัขที่ยังเล็กๆ จะสังเกตได้จากอาการเบื่ออาหาร, น้ำหนักลด, เจริญเติบโตช้า, ข้อเข่าปูดโปน
    - ในสุนัขโต จะเป็นโรค Osteomalacia กระดูกเปราะ ซึ่งกว่าจะเกิดอาการนี้ ก้อกินเวลาเป็นปีๆ ซึ่งอาการที่เห็นได้ชัดคือกล้ามเนื้ออ่อนแอ, เจ็บกระดูก และกระดูกเปราะหักง่าย
    -----------------------------------------
  • ขอบคุณครับคุณmomo
  • น้ำมันตับปลามีวิตามินอีและวิตามินดีมาก กินแล้วดี
    แต่ก็มีโทษอย่างที่คุณอ่านฉลาก คือ กินมากแล้วสะสมเป็นพิษ

    -อยากให้หมาขนสวย เพิ่มวิตามินด้วยวิธีธรรมชาติสิคะ
    วิตามินอีมีมากในผักใบเขียว น้ำมันถั่วเหลือง ไข่ อาหารพวกนี้ให้หมากินได้อยู่แล้ว
    เช่น ผักก็ปั่นละเอียดผสมกับอาหาร น้ำมันก็เทให้อาทิตย์ละช้อนสองช้อน
    ผสมอาหารเช่นกัน ไข่ก็กินได้อาทิตย์ละ 2 ฟอง ส่วนวิตามินดีมีมากในแสงแดด
    ถ้าหมาได้รับแสงแดดพอเพียง ได้นอนอาบแดดทุกวัน (นอนรับแดดตรงๆ นะคะ ไม่ใช่นอนรับแดดผ่านหน้าต่างกระจก) อย่างน้อย 15-20 นาที
    ก็จะได้รับวิตามินดี และถ้าอยากเพิ่มในอาหาร ก็ให้ปลาซาร์ดีนตัวเล็กๆ แบบที่อยู่ในกระป๋องก็ได้ รสธรรมชาตินะคะ
    ถ้าหาไม่ได้จะลองสดๆ ก็ได้ ปลาน้ำเค็มหลายชนิดมีวิตามินดีสูง ให้อาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้งก็ใช้ได้แล้ว
    ไข่แดงก็มีวิตามินดีมากเช่นกัน ใช้วิธีธรรมชาติสะดวกใจกว่า
    แต่ถ้ายังอยากเสริมด้วยน้ำมันตับปลา ก็ให้นานๆ ครั้ง ถ้าหมาขนงามอยู่แล้ว แสดงว่าสารอาหารเพียงพอ ก็ไม่ต้องให้น้ำมันตับปลาค่ะ

    -ทำไมต้องให้สุนัขกินน้ำมันปลา?
    เพราะน้ำมันปลาประกอบด้วยสารอาหารที่จำเป็น ซึ่งร่างกายของสัตว์เลี้ยงไม่สามารถผลิตได้เอง น้ำมันปลาช่วยเสริมสร้างสุขภาพทั้ง บำรุงสมองเนื่องจากเซลล์สมองต้องการกรดไขมันชนิดนี้มาก จึงช่วยเสริมสร้างเซลล์สมองของสัตว์เลี้ยง อีกทั้งยังช่วยบำรุงขนและผิวหนังของสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะในลูกสุนัข จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองและทำให้มีสุขภาพดีตั้งแต่เริ่มแรก

    -น้ำมันปลาจากทะเลดีกว่าน้ำมันจากปลาชนิดอื่นอย่างไร?
    เพราะว่าน้ำมันปลาที่ใช้ในการผลิตทั่วไปมีอยู่มากมายหลายเกรด
    ถ้าคุณภาพดีจะต้องสกัดมาจากปลาทะเลน้ำลึกอย่างปลาแซลมอน เพราะมีปริมาณสารอาหารสูงแต่ไขมันต่ำ ทำให้สัตว์เลี้ยงไม่อ้วน และมีเบต้าแครอทีนที่ไม่มีในปลาชนิดอื่นๆ


    น้ำมันปลานี้จะแทรกซึมอยู่มากในเนื้อปลา หนังปลา หัวปลา และหางของปลา
    ซึ่งมีปริมาณโอเมก้า3 สูง อีกทั้งยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อสัตว์เลี้ยง
    ที่ช่วยบำรุงผิวหนังและขนให้เงางามอีกด้วย สารอาหารสำคัญนอกจาก โอเมก้า 3 แล้วน้ำมันปลายังประกอบด้วยสารอาหารอื่นๆ
    ด้แก่

    * ไอโคซาเพนตาอีโนอิก (EPA)
    * โดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA)
    * กรดไขมันอิ่มตัว
    * วิตามินอี
    * วิตามินเอ
    * วิตามินดี


    ดังนั้นน้ำมันปลาทะเลจึงเหมาะที่จะใช้เสริมสร้างสุขภาพของสุนัขที่เรารัก ให้มีสุขภาพดี และมีชีวิตอยู่กับเราได้นานยิ่งขึ้น


    น้ำมันปลา กับน้ำมันตับปลาจะต่างกัน

    น้ำมันปลาจะมีพวก omega 3,6 สูง ในขณะที่น้ำมันตับปลาจะมีวิตะมิน A และ D สูง
    ซึ่งส่วนที่จะบำรุงขนจะเป็นน้ำมันปลา
    ส่วนน้ำมันตับปลานั้น ไม่ควรให้มากเกินไปนัก ได้รับวิตะมิน A และ D ในปริมาณที่มากเกินไป
    ก็จะทำให้ร่างกายมีการสะสมของแคลเซี่ยม

    น้ำมันปลาคือ Fish Oil สกัดจากเนื้อปลา หัวปลา และหางปลา ช่วยในเรื่องของระดับคลอเรสเตอรอส
    น้ำมันตับปลาคือ Cod Liver Oil สกัดจากตับปลา ช่วยในเรื่องการสร้างกระดูก
    ---------------------------------------------
  • แล้วตุ๊กแกกินตับล่ะ มันเกี่ยวกันมั้ย ฮ่าๆๆๆๆ
  • อีกเรื่องๆๆเรือ่งนวดด.........
    |
    |
    v

    ทำไมต้องนวดน้องหมา
    จากหนังสือ Dog Massage ของ แมรี่ จีน แปลโดยวันฉัตร
    เราเห่าไม่เป็น ดังนั้นวิธีการสื่อสารกับสุนัข โดยไม่ต้องใช้คำพูดก็คือการสัมผัส และการสัมผัสที่ดีที่สุดคือ การนวด
    พื้นฐานก็มาจากการลูบไล้สัมผัสอย่างส่งเดช แต่เมื่อได้ทราบถึงรายละเอียดก็จะพัฒนาไปสู่การนวดที่ถูกต้อง
    ดังคำที่ว่า ถ้าให้เลือกระหว่างการลูบไล้กับการนวดคุณจะเลือกอะไร แน่นอนเราเลือกการนวด น้องหมาก็เช่นกัน
    การลูบไล้สามารถผูกมิตร แต่การนวดสามารถผูกคู่หู
    การนวดน้องม๋า
    การเริ่มต้นนวดน้องม๋า จะต้องรู้จักพฤติกรรมและอารมณ์ของสุนัข ต้องสังเกตุ เรียนรู้จากการอ่านปฏิกริยาการตอบสนองของสุนัข กล่าวคือ

    1. ปฏิกริยาโต้ตอบแบบไม่เป็นมิตร คำราม กลั้นหายใจ ยืนนิ่ง ๆ ทำหูลู่ไปข้างหลัง เลิกคิ้วขึ้น ๆ ลง ๆ ทำตัวเกร็งโดยเฉพาะบริเวณคอ ขยับตัวหนี หรือพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เป็นแง่ลบ อย่าพยายามนวด ( แม้จะเคยนวดมาแล้ว แต่ครั้งนี้ นู๋ขอบายครับ )

    2. ปฏิกริยาโต้ตอบแบบเป็นมิตร ยิ้ม กระดิกหาง ทิ้งตัวลงนอนตะแคง หงายท้อง นอนน้ำลายไหล บิดขี้เกียจ ยืดหัวเชิดคอขึ้น แสดงลักษณะผ่อนคลาย แสดงว่า นู๋ชอบ นวดนู๋ได้เลย

    ข้อหลีกเลี่ยงในการนวดสุนัข
    1. อย่าลองนวดสุนัขที่ไม่คุ้นเคย หรือแอบนวดขณะน้องเผลอ
    2. อย่านวดสุนัขเมื่อเค้าอารมณ์ บ่ จอย
    3. อย่านวดนานนู๋เบื่อ
    4. ห้ามซนด้วยการดึงหนวด หู ขน หางของนู๋เล่น
    5. ห้ามกดท้องนู๋แรง ๆ เพราะอาจทำให้นู๋บาดเจ็บภายในได้
    6. การนวดบริเวณบอบบาง ควรระวังเรื่องเล็บของเรา จะมาขีดข่วนนู๋เจ็บ
    7. ห้ามนวดแทนการรักษาของคุณหมอ ถ้าจะนวดนู๋ก่อนการรักษาหรือผ่าตัด ต้องขออนุญาติคุณหมอก่อน อย่าทำให้รำคาญเดี๋ยวนู๋แง๊บเอานะ

    การนวดมีวิธีทำมือ 2 แบบคือ
    1. ฝ่ามือเปิด คือ มือเต็ม ๆ จากปลายนิ้วจรดข้อมือ โดยกางนิ้วมือทั้งหมด
    2. ฝ่ามือปิด คล้ายแบบเปิด แต่กำนิ้วมือเข้าหากัน

    เทคนิคการนวดไหล่
    ไหล่เป็นบริเวณนำร่องที่ดีที่สุดในการนวด ไหล่เป็นส่วนที่ใช้งานมากที่สุด กระดูกสะบักเป็นจุดที่รับน้ำหนักมากที่สุด ความยืดหยุ่นของข้อต่อไหล่ ทำให้สุนัขสามารถเอี้ยวตัวและหันได้อย่างรวดเร็ว
    คลำหาไหล่ของสุนัข ลูบไล้บริเวณนั้นด้วยท่านวด ไล้ลงไปช้า ๆ ทำแบบนี้อย่างน้อย 5 ครั้ง แล้วลูบย้อนขึ้นด้วยแรงกดที่เบากว่า
    ลูบวนรอบไหล่ ตามเข็มและทวนเข็นนาฬิกา เริ่มต้นจากกดแผ่ว ๆตรวบริเวณกระดูกใต้ผิวหนัง แล้วค่อย ๆ เพิ่มความแรงกดขึ้นเรื่อย ๆ
    เทคนิคการนวดคอ
    วางมือลงไป บีบ ดึงขึ้นแล้วปล่อย โดยทำมือเป็นรูปเกือกม้าตามขวาง ( U หัวคว่ำ ) วางฝ่ามือปิดลงบนคอสุนัข นิ้วหัวแม่มือจากวางอยู่บนด้านข้าง อีกสี่นิ้วอยู่อีกด้านของคอ บีบมือเบา ๆ ไล่ขึ้นไปช้า ๆ จนสุดแล้วคลายมือ ระวังอย่าจิกขนนู๋นะ เอื้อมมือลงไปจับขนบีบเบา ๆ แล้วรั้งขึ้นไปช้า ๆ อีกครั้ง ทำแบบนี้ประมาณ สองสามรอบ

    --------------------------------------------------------------------------------
    จากการที่ผ่านหนังสือ ด็อก มาสสาซ มา เค้าอธิบายว่า
    น้องม๋าชอบที่จะให้เราสัมผัสมาก ๆ ไม่ว่าจะลูบขน เกาหลัง เกาพุง เกาคาง เพราะเค้ารู้ว่า การสัมผัสต่าง ๆ เหล่านี้ เราจะทำด้วยความแผ่วเบา เค้าจะรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เกิดความรู้สึกเกร็งหรือกลัว ดังนั้นถ้าเราทำนานพอสมควรบางตัวถึงขนาดหลับเลยก็มี
    การนวดก็เป็นหนึ่งในสัมผัสที่น้องหมาชอบ ( ก็เหมือนคนนั่นแหละ ) แต่ต้องดูอารมณ์น้องม๋าด้วย
    การนวดพื้นฐานมีดังนี้
    ทำมือเป็นรูปตัว C ล็อคเข้าบริเวณต้นคอ ขยับนิ้ว ชี้ กลาง โป้ง เบา ๆ คลึงบ้าง อย่าใช้น้ำหนักมือแรงหรือมากเกินไป
    ทำมือเป็นรูปตัว C ล็อคเข้าบริเวณต้นคอ ค่อย ๆ รูดลงมาตามแนวสันหลัง ประมาณน้ำหนักมือให้คิดกับแผ่นหลังพอสมควร รูดประมาณ 5 - 10 เที่ยว ( รูดลงอย่างเดียว )
    ใช้สามนิ้ว ( โป้ง ชี้ กลาง ) จับเบา ๆ บริเวณหัวไหล่ ( ทีละข้างหรือพร้อมกันสองข้างก็ได้ ) คลึงนิ้วเบา ๆ ( น้องจะเริ่มเคลิ้ม ) จับให้เนื้อน้องอยู่ระหว่างนิ้วของเรา ( แค่จับอย่าบีบ ) ค่อย ๆ ถูนิ้วโป้ง โดยให้นิ้วชี้ กลาง เหมือนเป็นฐานที่อยู่นิ่งไว้ ถูแบบ วนเป็นวง
    --------------
  • บร้า...ตุ๊กแกชอบกินตับเด็กไม่เกี่ยวกันๆๆๆ
    ต่อๆๆ....

    การนวดหัวใจสุนัขเล็ก
    การนวดหัวใจ
    ถ้าหัวใจของสุนัขหยุดเต้น ต้องทำการนวดหัวใจทันที โดยคุณต้องทำให้หัวใจเต้นก่อนที่จะพยายามทำการช่วยหายใจ
    ในการตัดสินใจว่าควรจะทำการนวดหัวใจหรือไม่ ให้ใช้นิ้วกดลงไปที่เหงือกสุนัขเพื่อกั้นกระแสเลือดแล้วดูว่าบริเวณที่ถูกกดจนซีดนั้นมีกระแสเลือดไหลคืนตัวกลับมาหรือไม่ จากนั้นให้ตรวจสอบชีพจร ถ้าชีพจรไม่เต้น และเหงือกยังคงเป็นสีขาว แสดงว่าหัวใจหยุดเต้นแล้ว ในการตรวจสอบขั้นสุดท้าย ให้ตรวจดูตาของสุนัข ม่านตาจะเปิดกว้างเมื่อหัวใจหยุดเต้น

    การนวดหัวใจสุนัขเล็ก
    1.จับสุนัขนอนตะแคงโดยให้หัวสุนัขอยู่ต่ำกว่าลำตัว ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ จับหน้าอกสุนัขใกล้ๆข้อศอกของสุนัข แล้ววางมืออีกข้างลงบนหลัง
    สุนัข
    2.บีบนิ้วโป้งนิ้วชี้ เข้าหากันแรงๆไปทางคอของสุนัขถี่ๆ แต่อย่าให้หนักเกินไปอย่ากลัวว่าจะทำให้สุนัขเจ็บเพราะนี่คือนาทีชี้เป็นชี้ตาย
    3.ทำซ้ำตามขั้นตอนข้างต้นอัตรา 120ครั้งต่อนาทีโดยทำอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ
    4.นวดหัวใจเป็นเวลา 15วินาทีแล้วผายปอดด้วยวิธีเป่าลมเข้าไปในช่องจมูก 10 วินาที
    5.คอยตรวจสอบบ่อยๆว่าชีพจรเต้นหรือไม่ (การตรวจสอบการไหลเวียนโลหิตของสุนัขให้จับชีพจรตรงบริเวณ)
    โดยทำการช่วยหายไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่า ชีพจรเต้นให้ทำการช่วยหายใจต่อไปจนกว่าสุนัขจะกลับมาหายใจได้ด้วยตัวเอง
    6.พาสุนัขไปพบแพทย์ทันที

    การนวดหัวใจสุนัขที่อกแบน หรืออ้วนมากๆ
    1. ถ้าสุนัข อ้วนมากๆหรืออกแบน จับสุนัขนอนหงายแทนที่จะนอนตะแคงแต่ต้องให้แน่ใจว่าหัวสุนัขอยู่ต่ำกว่าลำตัว สุนัข
    2. วางฝ่ามือทั้งสองลงบนกระดูกหน้าอกแล้วกดมือลงโดยดันไปข้างหน้า วิธีนี้จะช่วยดันเลือดให้ไปเลี้ยงสมอง ทำเช่นนี้ถี่ๆโดยไม่ต้องกลัวว่า
    สุนัขจะเจ็บ ถ้าไม่มีบาดแผลที่หน้าอกหรือซี่โครง
    3. นวดซ้ำประมาณ 80ครั้งต่อนาที โดยนวดเร็วๆและสม่ำเสมอ
    4. นวดแต่ละครั้งให้ค้างไว้นานนับ หนึ่งถึงสอง แล้วผ่อนแรงหนึ่งวินาที ถ้าคุณนวดอย่างถูกวิธี คุณต้องรู้สึกเหนื่อยในเวลาไม่กี่นาที
    5.นวดหัวใจเป็นเวลา 15วินาทีแล้วผายปอดด้วยวิธีเป่าลมเข้าไปในช่องจมูก 10 วินาทีจนกว่าหัวใจจะกลับมาเต้นและหายใจอีกครั้ง

    การนวดหัวใจสุนัขขนาดกลาง-ใหญ่

    1.จับสุนัขนอนตะแคงโดยให้หัวสุนัขอยู่ต่ำกว่าลำตัว ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ จับหน้าอกสุนัขใกล้ๆข้อศอกของสุนัข แล้ววางมืออีกข้างลงบนหลัง
    สุนัข
    2.กดมือทั้งสองข้างลง และดันไปทางลำคอสุนัข การออกแรงกดหนักๆจะช่วยดันกระแสเลือดให้ออกจากหัวใจไปเลี้ยงสมอง
    3.นวดซ้ำในอัตรา 100ครั้งต่อนาที
    4.นวดหัวใจเป็นเวลา 15วินาทีแล้วผายปอดด้วยวิธีเป่าลมเข้าไปในช่องจมูก 10 วินาที
    5.คอยตรวจสอบบ่อยๆว่าชีพจรเต้นหรือไม่ (การตรวจสอบการไหลเวียนโลหิตของสุนัขให้จับชีพจรตรงบริเวณ)
    โดยทำการช่วยหายไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่า ชีพจรเต้นให้ทำการช่วยหายใจต่อไปจนกว่าสุนัขจะกลับมาหายใจได้ด้วยตัวเอง
    6.พาสุนัขไปพบแพทย์ทันที
  • ตู้ยาประจำบ้านสำหรับสุนัข

    สมัยนี้เกือบทุกบ้านมักจะมีสัตว์เลี้ยงอยู่ที่บ้าน โดยเฉพาะสุนัข ที่นับว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของ
    มนุษย์ ( The man best friend) บางบ้านมีเพียง 1-2 ตัว บางบ้านมีเป็นสิบ การมีตู้ยาประจำ
    บ้านเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องนึกถึง ถ้าหากเจ้าตัวน้อยของเราเกิดป่วย หรือได้รับอุบัติเหตุตอน
    ดึก ๆ เราคงต้องขับรถตระเวนหาโรงพยาบาลสัตว์ที่เปิด 24 ชั่วโมง ที่มีอยู่ไม่ถึง 10 แห่ง
    กว่าจะปลุกหมอมาตรวจพอดีเช้าเสียก่อน ถ้าอย่างนั้นเรามาลองตระเตรียมตู้ยาประจำบ้าน
    สำหรับสุนัขกันบ้าง ซึ่งรายการของที่ต้องเตรียมก็หาไม่ยาก ดังต่อไปนี้


    1. เกลือป่น (เกลือแกง)
    ใช้ป้อนที่โคนลิ้น เพื่อกระตุ้นให้อาเจียร ใช้ในกรณีที่หมา
    ได้รับสารพิษ หรือกินสัตว์พิษ

    2. เกลือแร่ผงชนิดละลายน้ำ (ORS)
    ใช้ปฐมพยาบาลในกรณีท้องเสียหรือถ่ายท้อง

    3. ปรอทวัดไข้ ชนิดสวนทวาร
    วัดอุณหภูมิของสัตว์ทางทวาร สุนัขมีอุณหภูมิปกติ 102 F หากสุนัขช็อคหรืออุณหภูมิตก ต้องใช้กระเป๋าน้ำร้อนเพื่อเพิ่มอุณหภูมิ หรือ มีไข้ อาจต้องให้ยาลดไข้

    4. น้ำเกลือล้างแผล (Normal Saline Solution)เป็นน้ำที่มีความเข้มข้นเท่าน้ำในร่างกาย ราคาประมาณ 20-40 บาท ใช้ล้างแผลให้สะอาดโดยไม่ทำให้เนื้อเยื่อรอบข้างถูกทำลาย

    5. แอลกอฮอล์
    ใช้ฆ่าเชื้อโรค ต่อจากน้ำเกลือล้างแผล

    6. ทิงเจอร์ไอโอดีน หรือ เบตาดีน
    ใช้ฆ่าเชื้อโรค และยังกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อ

    7. สำลี และผ้ากอซ
    ใช้ซับและปิดแผล

    8. น้ำยาเช็ดหู
    ใช้ทำความสะอาดใบหู และช่องหู

    9. ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล , ไอโปรบูเฟน , บูเฟน
    ต้องระมัดระวังเพราะ แมว แพ้ พาราเซตามอลอย่างรุนแรง ส่วน ไอโปรบูเฟน หรือ บูเฟน ค่อนข้างปลอดภัยมาก ขนาดที่ใช้คือ 200 mg หรือ จะใช้แบบน้ำเชื่อมก็ได้

    10. ยาปฏิชีวนะ (วงกว้าง)
    แอมพิซิลิน 250 mg ค่อนข้างออกฤทธิ์ได้ดีในโรคทางเดินหายใจ
    ออกซีเตตร้าซัยคลิน 250 mg ใช้ดีกับบาดแผลทั่วไป ส่วนยาปฏิชีวนะอื่น ๆ ควรปรึกษาสัตวแพทย์

    11. น้ำยาฆ่าเชื้อโรค
    ใช้ผสมน้ำฆ่าเชื้อโรคตามพื้น หรือสิ่งรองนอน หรือล้างมือหากมีโรคระบาด เช่นลำไส้อักเสบติดต่อ , ไข้หัดสุนัข

    รายการข้างบนเจ้าของสุนัขลองพิจารณา และ ลองจัดหามาติดบ้านไว้บ้างเพื่อช่วยปฐมพยาบาลสุนัขในยามฉุกเฉิน

    เพิ่มเติม
    - ใช้น้ำมันพืชหรือไข่ขาวเพื่อให้อาเจียนก็ได้เหมือนกัน
    - กรณีฉุกเฉินไม่สามารถหาน้ำเกลือแร่ได้ น้ำแดงผสมน้ำสามารถให้แทนสารเกลือแร่ได้ เวลาน้องหมาช๊อค หรือ อ้วก จะช่วยให้น้องหมาสดชื่นได้

    -----------------------------------
    ปริมาณยาพารา

    คือว่าเมื่อวานผมมีโอกาสคุยกับพี่สัตวแพทย์อ่ะครับก็เลยได้เกร็ดความรู้เรื่องปริมาณยาพาราเซตามอนว่า
    หมานั้นให้ใช้15mg/1กิโลกรัมน่ะครับโดยยาพาราเซตามอนที่เรากินกันนั้นมี500mg/1เม็ด(โปรดสังเกตุดูปริมาณอีกทีน่ะครับ)
    ส่วนในแมวแมว 0.011-0.11 mg/ 1kg ซึ่งน้อยมาเพราะฉะนั้นแมวจึงกินยาพาราเซตามอนคนไม่ได้
    ที่ผมบอกไว้เพื้อหากอยู่ในยามจำเป็นมากๆๆๆๆๆๆก็ได้ช่วยได้น่ะครับแต่ไม่จำเป็นอย่าให้กินเลยเดี๋ยวอาการมันจะหนักครับหรือไม่ควรตัดขนาดยาให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัวน้องหมาเตรียมไว้โดยลดขนาดยาเช่นน้องหมา10กิโลก็ตัดไว้เผื่อ9กิโลกับ11กิโลเลยเวลาที่อาการหนักจิๆๆๆคุณโทรคุยกะสัตวแพทย์แล้วสัตวแพทย์บอกว่าให้น้องเขากินยาพาราเซตามอนไปก่อนเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลานำเขาไปชั่งน้ำหนักได้จับให้ยาได้ทันจะได้ประหยัดเวลาด้วยน่ะครับ
  • ปริมาณยาพาราเซตามอล (อิงจากของคนนะครับ) จะให้กิน 10 - 15 mg/kg/time
    ยาพาราน้ำเชื่อม โดยทั่วไป 5 cc (1 ช้อนชา) จะมีตัวยาอยู่ 120 mg ( ถ้าหาร จะได้ 1 ซีซี มีตัวยาอยู่ 24 มิลลิกรัม)
    ทีนี้เราลองมาคำนวนดูกันนะครับ
    สมมุติยัยชาช่าหนัก 2 kg.
    2 * 10 = 20
    2 * 15 = 30
    นั่นคือให้ปริมาณยาที่ให้ได้ 20 - 30 mg.
    สรุปคือ ผมต้องให้ยา ยัยชาช่าทีละ 1 ซีซี ในแต่ละครั้ง โดยให้ห่างกัน 4 - 6 ชม. ครับผม
    ปล. แต่ปีนี้ สมาคมทันตแพทย์เด็กในอเมริกา ได้เปลี่ยน ปริมาณใหม่เป็น 60 mg./kg./day แต่ลองคำนวนแล้ว มันก็เท่าๆ กับอันเดิมนั่นแหระครับ

    --------------------------
    "ยาปฏิชีวนะมิใช่ยาแก้อักเสบ"

    มีหลายคนทีเดียว ที่ยังเข้าใจว่า ยาปฏิชีวนะ เป็นยาแก้อักเสบ เราลอง มาดูคำจำกัดความแบบง่ายๆ สักนิดนึง เพื่อให้ท่าน เข้าใจนะครับ เราเริ่ม ที่ยาปฏิชีวนะก่อนดีกว่า ยาปฏิชีวนะ ก้อคือ ยาที่ใช้ หยุดการเจริญเติบโต หรือมีฤทธิ์ ฆ่าเชื้อโรค ได้ เชื้อโรคในที่นี้ส่วนใหญ่ จะหมายถึง พวกแบคทีเรีย ซะส่วนมาก ยาปฏิชีวนะ นี้ได้มาจากหลายๆแหล่ง มีทั้งแบบได้มาจากธรรมชาติ และสังเคราะห์ขึ้น เมื่อทานยาปฏิชีวนะเข้าไป ก้อจะออกฤทธิ์ไปยับยั้ง การเจริญ หริอไปฆ่าเชื้อโรค นะครับ ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ก้อเช่น เพนนิซิลลิน แอมพิซิลลิน ซัลฟา ฯลฯ เรามาดูยาแก้อักเสบ บ้าง ยาแก้อักเสบ อันที่จริงเราน่าจะเรียกว่าลดการอักเสบมากกว่า การอักเสบ นี่มีอาการอย่างไร ต้อง ทราบก่อน เมื่อเราพบการอักเสบ ก้อจะพบ การบวม ร้อน แดง และเนื้อเยื่อส่วนนั้น สูญเสียการทำงานไป ยาแก้อักเสบ จะไปลดขบวนการ เหล่านั้น ทำให้อาการบวม ร้อน แดง นี่ ลดลงไป โดยยาจะไปออกฤทธิ์ เกี่ยวกับ ระดับสารเคมี ระดับเซลส์ (เรื่องมันยุ่งมากเลย) เอาหล่ะ เมื่อดูคำจำกัดความ ทั้งสองแบบแล้ว พบว่า ยามันออกฤทธิ์ คนละอย่างเลย มันจึง เป็นยาคนละกลุ่มกันอย่างแน่นอน แต่ทำไม คนชอบ เอสมาสับสน กันหล่ะ มันมีหลายสาเหตุ ครับ อย่างแรก ก้อคือ เมื่อพบอาการอักเสบ ส่วนมากมักพบ การติดเชื้อแบคทีเรีย เสมอๆ หมอจึง ให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อไปกำจัดเชื้อ ที่เป็นสาเหตุ พอการอักเสบหาย คนจึงคิดว่ายานี้น่ะ เป็นยาแก้อักเสบ แต่มันไม่ใช่ครับ เราก้อพบเสมอๆ อีกเหมือนกัน ว่า การอักเสบ ที่ไม่มีการติดเชื้อโรค ก้อมีกันเยอะแยะไป ดังนั้น จึงควรที่จะเข้าใจ เรียกชื่อ ยาให้ถูกต้อง เสียก่อน

    ----------------------------
  • แหะๆๆๆ เยอะโคด...ต่อๆๆๆๆ

    ยาล้างแผล

    กำลังเล่นพันทิพอยู่อ่านเจอพอดี เลยก็อปมาให้อ่านกัน

    แผลเป็นหนองใช้ไฮโดรเย่นค่ะ แผลสดเท่านั้นถึงจะใช้ กฮ. ไม่งั้นมันจะเน่าไปเรื่อยๆจ้ะ
    แผลเป็นหนองก็ต้องใช้ hydrogenperoxide ในการฆ่าแผลคะ เพราะจำทำหน้าที่ช่วยทำลาย เซลล์หนองออกจากผิวหนัง ซึ่งในจุดนี้ แอลกอฮอลล์หรือเบตาดีนจะไม่สามารถช่วยบ่งหนองออกจากผิวหนังได้หรอกคะ

    การใช้แอลกอฮอลล์ ฆ๋าเชื้อภายนอก ใช้ในแผลสด คือป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปในแผลคะ แต่ก็ไม่ค่อยดี เพราะว่าแอลกอฮอลล์จะเข้าไประเหยน้ำที่ผิวหนังของน้องหมาของเราด้วย เพราะผิวหนังของหมา บอบบางกว่าของคนคะ อาจจะเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ คือทำให้ผิวน้องหมา แห้งและแพ้ง่ายเข้าไปอีก ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้เบตาดีนจะดีกว่าคะ
    ----------------------------------

    ยาพิษในบ้าน
    มีสิ่งของในบ้านมากมายที่เป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงของเรา ซึ่งอยากเตือนให้ทุกคนเฝ้าระวังเอาไว้ด้วย จะได้ไม่ประมาทเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์
    ? พาราเซตามอล ( Paracetamol )
    ? ยาเบื่อหนู หอยทาก/หอยคัน ยาวาร์ฟาริน / โบรดิเฟคุม / ไดฟาซิโนน
    ? โคเลแคลซิเฟอรอล / วิตามินดี
    ? เมทาลดีไฮด์
    ? ยาแก้แพ้และยาแก้คัดจมูก
    ? สารหนู
    ? แอสไพริน ( Aspirin )
    ? ช็อกโกแลต
    ? โคเคน
    ? พิษเอทิลีน กลัยคอล (น้ำยากันการเยือกแข็ง)
    ? ยาน้ำสวนทวาร
    ? น้ำยาทำความสะอาดบ้านเรือน
    ? ไอบูโพรเฟน ( Ibuprofen )
    ? ปุ๋ยกุหลาบ ( เหล็ก )
    ? พิษตะกั่ว
    ? กัญชา
    ? ออร์แกโนฟอสเฟต
    ? น้ำมันก๊าด น้ำมันเบนซิน
    ? ไพเรทริน
    ? สตริกนิน
    ? ยาลดอาการซึมเศร้าประเภทไตรซัยคลิก
    ? สังกะสี
    ------------------------------------------------------อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก.ก....จะอ่านกันไหวไม๊เนี่ยยยย...
  • ขอบคุณครับ
  • พาราเซตามอล
    ยาบรรเทาปวดลดไข้ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ปลอดภัยสำหรับมนุษย์ แต่เป็นยาพิษร้ายแรงสำหรับสุนัข และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแมว ขนาดที่เป็นพิษสำหรับสุนัขคือ 165 mg ต่อน้ำหนักตัว 1 kg แมวอยู่ที่ 55 mg/kg นั่นหมายความว่ายาพาราฯ 1 เม็ด 325 mg สามารถฆ่าแมวได้ 1 ตัว
    สัญญาณที่แสดงอาการพิษต่อสุนัขคือ ซึม อาเจียน น้ำปัสสาวะสีน้ำตาลแดง คล้ำ และตายภายใน 2-5 วัน ส่วนแมวจะมีอาการหน้าบวม อุ้งเท้าบวม เบื่ออาหาร น้ำลายฟูมปาก อาเจียน ซึม เหงือกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือม่วงแดง น้ำปัสสาวะเป็นสีช็อกโกแลต อาการทั้งหลายเหล่านี้จะแสดงหลังได้รับยาเพียง 1-2 ชม. และตายภายใน 18-36 ชม.
    การรักษาแมวที่ได้รับพิษมักไม่ได้ผล สำหรับสุนัขได้ผลดีกว่า ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดยาที่ได้รับ โดยต้องพาไปรพ.ทันที อาจทำให้อาเจียน กินผงถ่าน ให้ยาอะเซทิลซิสเทอีน ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ให้ออกซิเจน หรือต้องถ่ายเลือดในตัวทั้งหมด

    ประสบการณ์ตรงเล่าสู่กันฟัง
    เคยทำให้หมาพันธุ์บางแก้วที่รักมากที่สุดตายมาแล้วด้วยยาพาราฯ เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หมาป่วยซึมทุกครั้งให้ยาพารา หาย วันนึงน้องหมีไม่สบายซึม บอกพ่อ พ่อแนะนำว่าเอาพาราให้มันสิ จึงให้ไป 1 เม็ด พ่อบอกว่าจะไปหายได้ยังไงให้ 2 เม็ดสิ เลยให้ไปอีก ประมาณ 2 ทุ่มคืนนั้นพ่อบอกว่าน้องหมีตายแล้ว ที่ศพมีน้ำไหลนองเต็มพื้น ร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้ เหมือนจะขาดใจ เฝ้าโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง ตั้งปณิธานไว้ว่าจะต้องเรียนรู้ให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้ผิดพลาดอีก วันนี้มีโอกาสอยากแชร์ประสบการณ์ให้ทุกคนได้รับรู้ และจะได้ระวังไว้ให้มาก ไม่อยากให้ใครต้องร้องไห้ ไม่อยากให้ใครต้องเสียใจอีก มันเลวร้ายมากที่รู้ว่าเราเองที่เป็นคนฆ่าหมาที่รักกับมือ...

    ยาเบื่อหนู หอยทาก/หอยคัน ยาวาร์ฟาริน / โบรดิเฟคุม / ไดฟาซิโนน
    ยาพวกนี้จะลดความหนืดของเลือด คงฤทธิ์อยู่นาน ทำให้เกิดการตกเลือดและตายในที่สุด การรักษาจะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับปริมาณและชนิดของยาเบื่อที่กินเข้าไป โดยมากสังเกตุอาการแต่เนิ่นๆได้ยาก ส่วนใหญ่กว่าจะทราบก็ตกเลือดแล้ว ซึ่งโอกาสรอดจะน้อยมาก หากสงสัยให้รีบส่งพบแพทย์ทันที
    อาการแสดงคือ ซึม อ่อนเพลีย เหงือกซีด มีเลือดในอุจจาระ เลือดออกจากจมูก เหงือก บาดแผล และทางเดินปัสสาวะ ตกเลือดในปอด ช่องท้อง หรือช่องอื่นๆ
    การดูแลขั้นต้นอาจทำให้อาเจียน หรือกินผงถ่าน แล้วรีบส่งพบแพทย์

    ยาแก้แพ้และยาแก้คัดจมูก
    ยาแก้แพ้ ไดเฟนไฮดรามีน แก้คัดจมูก ซูโดอีเฟดรีน, เฟนิลโพรพาโนลามีนและคลอเฟนิรามีน หรือที่รู้จักกันในนาม CPM อาจก่ออันตรายร้ายแรงถ้าบังเอิญกินเข้าไปเกินขนาด
    อาการแสดงคือ ซึม หายใจลำบาก ตื่นเต้น กล้ามเนื้อเต้นหรือสั่น ชัก หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาเจียน และไข้ขึ้น
    การดูแลขั้นต้นอาจทำให้อาเจียน หรือกินผงถ่าน แล้วรีบส่งพบแพทย์

    แอสไพริน
    แมวจะไวต่อพิษมากกว่าสุนัข สำหรับสุนัขขนาดที่อันตรายคือ 55 mg ต่อน้ำหนักตัว 1 kg แมวอยู่ที่ 26 mg/ kg
    ถ้าการรักษาเริ่มเมื่อสัตว์อยู่ในภาวะร่างกายขาดน้ำ หมดสติ หรือเมื่อมีการกดไขกระดูกหรือตับถูกทำลายแล้ว มักไม่ได้ผลดี
    การดูแลขั้นต้นอาจทำให้อาเจียน หรือกินผงถ่าน แล้วรีบส่งพบแพทย์

    ช็อกโกแลต
    ทีโอโบรมีนเป็นสารที่มีอยู่ในช็อกโกแลต อาการพิษจะเกิดเมื่อกินทีโอโบรมีนเข้าไป 110 mg ต่อน้ำหนักตัว 1 kg ช็อกโกแลตนม มีปริมาณสารนี้ 45 ? 51 mg / ออนซ์ ช็อกโกแลตดำ มีอยู่มากกว่า 400 mg / ออนซ์
    คาเฟอีน ขนาดที่เป็นพิษคือ 154 mg ต่อน้ำหนักตัว 1 kg ซึ่งพบในช็อกโกแลต ชา กาแฟ
    การรักษาจะได้ผลดีถ้าส่งรพ.โดยเร็ว แต่ถ้ากินเข้าไปมากทิ้งไว้นานจนดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด จะมีอาการ อาเจียน ท้องเดิน คึกคักผิดปกติ อยู่ไม่สุข เดินโซเซ กล้ามเนื้อเต้นหรือสั่น หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นช้าผิดปกติ ไข้ขึ้น ชัก โคม่า และตาย
    ไม่มียาแก้พิษการรักษาทำได้เพียงทำให้อาเจียน ให้ผงถ่าน ยาถ่าย อาจเสริมน้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ให้ออกซิเจน ให้ยาเพื่อสงบประสาทและกันชัก รวมไปถึงยาปรับจังหวะการเต้นของหัวใจ และต้องรักษานาน

    น้ำยาทำความสะอาดบ้านเรือน
    ผงซักฟอก น้ำยาซักฟอก น้ำยาฟอกขาว น้ำยาฆ่าเชื้อ (ฟีนอลและน้ำมันสน) น้ำยาเช็ดกระจก น้ำยาล้างส้วม ทำให้เกิดพิษรุนแรง การสัมผัสอาจเกิดแผลไหม้ อันตรายต่ออวัยวะภายใน ปากไหม้ ต้องพบสัตวแพทย์ทันที

    ไอบูโพรเฟน
    เป็นยาแก้ปวดแก้อักเสบที่ไม่ใช่เสตียรอยด์ ซึ่งมีอันตรายต่อสุนัขและแมวอย่างมาก เพียง 165 mg ต่อน้ำหนักตัว 1 kg สามารถทำให้อาเจียนอย่างรุนแรง 330 mg ต่อน้ำหนักตัว 1 kg ทำให้ไตวายภายใน 1-3 วัน
    ผลการรักษาขึ้นกับปริมาณและระยะเวลาที่ได้รับยา โดยมากผลการรักษามักไม่ดีนัก
    การดูแลขั้นต้นอาจทำให้อาเจียน หรือกินผงถ่าน แล้วรีบส่งพบแพทย์
    -------------------------
  • ยาประจำบ้านที่ใช้ได้อย่างปลอดภัย

    อย่าลืมถามสัตวแพทย์ว่ายาประจำบ้านอย่างไหนที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยต่อสัตว์ ขนาดยาที่ใช้กับสัตว์ ไม่จำเป็นต้องเท่ากับที่มนุษย์ใช้ และขนาดยาที่ใช้กับแมวไม่จำเป็นต้องเท่ากับสุนัข ยาในบ้านหลายอย่างไม่ปลอดภัยสำหรับสัตว์ หลายอย่างต้องให้ในขนาดที่ถูกต้องและด้วยความระมัดระวังอย่างสูง

    ? ผ้าเย็น ช่วยลดการอักเสบจากการฟกช้ำและการบาดเจ็บอื่นๆ ก้อนน้ำแข็งเล็กๆ ที่ห่อด้วยผ้าขนหนูเปียกๆ ใช้การได้ดีเท่าๆกับแผ่นเจลราคาแพงที่ต้องแช่ในตู้เย็น ไม่ต้องเสียค่าไฟในการแช่อีกด้วย
    ? ผ้าร้อน ช่วยชำระเชื้อโรคจากแผลและช่วยซับหนองจากฝี ผ้าร้อนที่ใช้การได้ดีคือผ้าขนหนูที่จุ่มในน้ำร้อนและบิดจนหมาด สิ่งที่ต้องระวังคืออย่าให้น้ำร้อนจัดนัก เพราะผ้าขนหนูที่ชุบน้ำร้อนจัดๆสามารถลวกสัตว์ได้
    ? โพวิโดน ? ไอโอดีน ( เบตาดีน ) ใช้ทำความสะอาดแผลที่ผิวหนัง
    ? ขี้ผึ้งปฏิชีวนะหรือขี้ผึ้งฆ่าเชื้อ อาจใช้ได้กับแผลตื้นๆที่ผิวหนัง

    นอกจากนี้ยังมียาสามัญที่มนุษย์ใช้ได้กับสุนัขและแมว แต่ห้ามใช้เป็นอันขาด ก่อนที่จะปรึกษากับสัตวแพทย์ และอย่างลืมถามถึงขนาดยาที่จะใช้ด้วย
    ? ไดเฟนไฮดรามีน หรือคลอเฟนิรามีน มีประโยชน์สำหรับรักษาอาการแพ้และแมลงสัตว์กัดต่อย
    ? บิสมัท ซับซาลิซิเลต และโลเพอราไมด์อาจใช้ได้ในช่วงสั้นๆ เพื่อบรรเทาอาการท้องเดินของสุนัข
    ? แอสไพริน อาจใช้กับสุนัขเพื่อบรรเทาอาการปวดและการอักเสบได้ ส่วนแมวต้องคำนวณขนาดยาอย่างรอบคอบ ห้ามให้แอสไพรินแก่แมวก่อนปรึกษาสัตวแพทย์เป็นอันขาด
    ? ไฮโดรเจน เพอร์ออกไซด์ หรือเกลือปรุงอาหารอาจใช้เพื่อทำให้สัตว์อาเจียนได้
    ? ถ่านผงหรือถ่านเม็ด ช่วยดูดซับสารพิษที่สัตว์กินเข้าไป
    ? เดกซ์โทรเมทอร์แฟน ช่วยบรรเทาอาการไอของสัตว์ ควรเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก และต้องไม่มียาเสพติด เช่นโคเดอีนเป็นส่วนประกอบ
    ? น้ำมันแร่หรือปิโตรเลียม อาจใช้รักษาหรือป้องกันขนแมวเป็นสังกะตัง และใช้เป็นยาระบายได้สุนัขและแมว
    ----------------------------------------
  • สุดยอดเลยคับ
  • ยาธาตุน้ำแดง



    ต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องยากพอควรสำหรับผู้เลี้ยงสัตว์ที่จะทราบว่า สัตว์เลี้ยงของท่านมีความผิดปรกติใด หากอยู่ๆ สัตว์เลี้ยงมีอาการซึมลง ไม่ยอมกินอาหาร แม้จะหลอกล่อด้วยของที่เคยชอบเป็นพิเศษแล้วก็ตาม เรียกแล้วก็ไม่ยอมมาหาเหมือนเคย แถมมีพฤติกรรมเซื่องซึม
    โดยทั่วไปแล้วความผิดปรกติอันดับแรกที่เจ้าของมักคาดเดาไว้ คือต้องเป็นไข้ ฉะนั้น ยาลดไข้จึงเป็นยาชนิดแรกซึ่งเจ้าของป้อนให้สัตว์เลี้ยงกิน หากเป็นไปตามที่ท่านคาดไว้สัตว์ตัวนั้นก็จะมีอาการดีขึ้น แต่ในหลายตัวก็ไม่ได้เป็นดังที่ท่านคาด เพราะมีอาการผิดปรกติๆ นานาประการ ซึ่งท่านอาจจะคาดไม่ถึง เช่น เป็นได้ว่าสัตว์เลี้ยงของท่านอาจปวดท้องเนื่องมาจากท้องอืด จุกเสียด ท้องเฟ้อ มีอาการอาหารไม่ย่อย
    และถือเป็นอาการที่สัตวแพทย์ตรวจพบเสมอๆ ดังนั้น หากสุนัข แมวมีอาการซึม ไม่กินอาหาร ไม่ร่าเริงเหมือนเคย จึงเป็นไปได้ว่า พวกเค้าอาจมีอาการดังที่กล่าวมา

    เมื่อเป็นเช่นนี้การให้กินยาธาตุน้ำแดงในเบื้องต้นก็สามารถทำให้อาการทุเลาได้ ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า สัตว์ก็เหมือนมนุษย์เรา คือมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดได้ เนื่องจากอาหารไม่ย่อย หรือมีกรดในกระเพาะอาหาร จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ไม่อยากกินอาหาร ไม่สบายท้อง อาการดังกล่าวแม้สัตว์บอกเราไม่ได้ แต่เราสังเกตได้ คือเค้าจะซึม ไม่ร่าเริงเหมือนเคย หรือในบางรายมักมีอาการผายลมบ่อยๆ ร่วมด้วย ขอย้ำว่าเขียนไม่ผิด
    หรอกครับ สัตว์สามารถผายลม (หรือปล่อยตด) ได้จริงๆ บ่อยครั้งที่พบว่าสัตว์บางตัวที่มีอาการจุกเสียด ท้องอืด ซึม หากได้ผายลม หรือขับถ่ายก็จะพบว่า มีอาการดีขึ้นได้

    สาเหตุของความผิดปรกติ อาการผิดปรกติเช่นนี้เกิดจากการที่ระบบย่อยอาหารมีความผิดปรกติ

    อาหารไม่ย่อย หรือย่อยได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้มีกรด และแก๊สในกระเพาะอาหารและในลำไส้ หรือลองสังเกตดูว่า สุนัขหรือแมวกินอาหารมากเกินไปหรือเปล่า กินอาหารที่ย่อยยากหรือเปล่า
    หรือว่าสุนัขหรือแมวของเรามีปัญหาของระบบการย่อยอาหาร และการเคลื่อนตัวของทางเดินอาหารที่ผิดปรกติบ่อยครั้ง การหาสาเหตุและการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเป็นวิธีที่ดีที่สุด หากจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการก่อนในเบื้องต้นก่อนพาไปพบสัตวแพทย์ แนะนำว่ายาธาตุน้ำแดงก็สามารถหยิบฉวยมาใช้ได้ น่าจะหาได้ไม่ยาก เกือบทุกบ้านน่าจะมีติดตู้ยาไว้แน่นอน

    ยาธาตุน้ำแดง เป็นยาสามัญประจำบ้านที่มีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องขึ้น ท้องอืด จุกเสียดแน่นเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว มีรสหวานเล็กน้อย เย็น ซ่า เผ็ดร้อนเล็กน้อย เป็นยาที่มีส่วนประกอบของสารออกฤทธิ์ส่วนใหญ่เป็นสารสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการดูดซับแก๊สในทางเดินอาหาร แก้อาการท้องอืดไม่สบายท้อง ซึ่งประกอบด้วย โกฐน้ำเต้า การบูร เปปเปอร์มิ้น โซเดียมไบคาร์บอเนต และเอทานอล

    สรรพคุณมีดังนี้
    โกฐน้ำเต้า (Rhubarb) มีสาร anthraquinone มีฤทธิ์เป็นยาระบายโดยการกระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ แก้ธาตุอ่อน ขับลมในลำไส้ ท้องอืดเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว ช่วยให้การขับถ่ายเป็นปรกติ
    การบูร หรือ camphor ได้จากการกลั่นของต้นการบูร มีกลิ่นเฉพาะ รสเผ็ดร้อน หอมเย็นซ่า ละลายน้ำได้น้อย เพราะฉะนั้นมักนิยมใช้เอทานอลในการทำละลาย มีสรรพคุณ ขับลม เป็นยาระงับเชื้ออย่างอ่อน แก้จุกเสียด แก้ปวดท้อง ท้องร่วง
    เปปเปอร์มินท์ มีกลิ่นหอมเย็น ช่วยขับลม ทำให้สบายท้อง
    โซเดียมไบคาร์บอเนต เป็นยาที่ช่วยในการลดการในกระเพาะอาหารซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องอืดเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว โดยโซเดียมไบคาร์บอเนตจะทำให้สภาพความเป็นกรดในกระเพาะอาหารเป็นกลางมากขึ้น

    นอกจากยาธาตุน้ำแดงที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมียาธาตุน้ำแดงอีกหลายชนิด ที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกันนี้ เช่น
    - Mix carminative ขององค์การเภสัชกรรม มีส่วนประกอบสารออกฤทธิ์ของดังนี้
    - กระวานเทศ (cardamon) ซึ่งเป็นพืชล้มลุกที่มีสรรพคุณในการกระตุ้นการขับลมในลำไส้
    - ขิง (ginger) ซึ่งในขิงจะมีส่วนของน้ำมันหอมระเหยของ menthol, borneol, fenchone, 6-shogoal และ6-gingerol มีฤทธิ์ ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน ขับลม แก้อาเจียน นอกจากนี้แล้ว , 6-shogoal และ6-gingerol ยังมีคุณสมบัติในการลดการบีบตัวของลำไส้ช่วยในการบรรเทาอาการปวดท้อง
    - พริก มีสาร capsaicin มีรสเผ็ดร้อน ทำให้เลือดไหลเวียนดี ช่วยย่อย ขับลม แก้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย
    - ยาธาตุน้ำแดง stomachic mixture ขององค์การเภสัชกรรมเช่นเดียวกัน มีส่วนประกอบของโกฐน้ำเต้า gentian และ Ipecac ซึ่งมีสรรพคุณทำให้เจริญอาหาร กระตุ้นการย่อยอาหาร ช่วยในการเคลื่อนตัวและการทำงานของทางเดินอาหาร บรรเทาอาการปวดท้อง

    อาจเป็นไปได้ว่า เหตุที่สุนัข หรือแมวของท่านมีอาการ ซึม ไม่ร่าเริง ไม่ยอมกินอาหารนั้นแท้จริงแล้วเกิดจากพฤติกรรมที่ชอบกินไม่เลือก กินมาก หรือกินอาหารที่ย่อยยาก ยิ่งถ้าหากมีการผายลมร่วมด้วยล่ะก็ เป็นไปได้ว่าอาจมีสาเหตุมาจากการจุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ และถ้าเป็นเช่นนั้น อย่าลืมนึกถึงยาธาตุน้ำแดงด้วยนะครับ

    ---------------------
  • Metoclopramide
    คงยังไม่ลืมข่าวการเสียชีวิตของสาววัยรุ่นผู้ลดเสียชีวิตจากการดูดไขมัน โดยที่แพทย์ได้ระบุถึงสาเหตุการเสียชีวิต เกิดจากเหตุคนไข้แพ้ยาแก้อาเจียน และหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งรายงานว่า จากผลการตรวจปัสสาวะของผู้ตายพบยาหลายชนิดและหนึ่งในนั้นคือ ยาแก้อาเจียน "Metoclopamide" ซึ่งนายแพทย์ผู้ทำศัลกรรมได้อ้างไว้ตั้งแต่ต้น
    ยาชนิดนี้เป็นมีคุณประโยชน์คือ ใช้แก้อาการอาเจียนซึ่งนิยมใช้กันมากชนิดหนึ่งทั้งในคน และในสัตว์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์เลี้ยง เนื่องจากมีอาการป่วยที่พบได้บ่อยคือ อาเจียน และท้องเสียเป็นส่วนใหญ่ ยาชนิดนี้จึงถือว่าเป็นยาที่สำคัญและใช้มากชนิดหนึ่ง
    อาการอาเจียนเป็นอย่างไร ต้องทราบก่อนว่า อาเจียนเป็นอย่างไร จึงให้ยาได้ถูกต้องตามอาการ เพราะบ่อยครั้งที่เจ้าของสัตว์เองยังสับสนระหว่างอาเจียนกับขย้อน ขย้อนคืออาการขากเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาจากลำคอ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นไวมาก เพียงชั่วพริบตา และให้สังเกตได้ว่า ของที่ออกมานั้นยังไม่ผ่านการย่อยจากกระเพาะอาหาร เรียกว่าถ้าเป็นข้าวก็ยังเรียงเป็นเม็ดสวยงาม ขณะที่อาการอาเจียนนั้นให้ลองนึกเปรียบเทียบกับตัวเราก่อนว่า อากัปอาการก่อนอาเจียนนั้นจะเริ่มรู้สึกไม่สบายตัว เช่น คลื่นไส้ ในสัตว์นั้นให้สังเกตว่าจะแสดงอาการดังต่อไปนี้คือ เดินวนไปมา คอตก เลียปาก น้ำลายยืดๆ ท้องขยับเป็นจังหวะ รู้สึกได้ถึงความผะอืดผะอม สุดท้ายก็จะโก่งคอแล้วอาเจียนออกมา ซึ่งสัมพันธ์กันตามลำดับ ตั้งแต่กล้ามเนื้อท้อง กระเพาะอาหาร หลอดอาหาร กล่องเสียง จนกระทั่งออกมาจากทางปาก ถือเป็นปฏิกริยาตอบสนองของร่างกายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นไปตามลำดับและเป็นอัตโนมัติ
    คุณสมบัติของยาแก้อาเจียนคือ " Metoclopamide " นอกจากใช้เป็นยาแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียนแล้ว ยังมีผลต่อการช่วยในการเคลื่อนตัวของกระเพาะอาหาร ช่วยแก้ไขภาวะที่กระเพาะอาหารไม่ทำงาน ท้องอืดเฟ้อจากการที่กระเพาะอาหารไม่บีบตัว การเรอหรือการไหลย้อนกลับของของเหลวในกระเพาะอาหารไปที่หลอดอาหารเป็นต้น เนื่องจากการทำงานของ Metoclopramide ต่อการแก้อาเจียนนั้นออกฤทธิ์โดยไปกระตุ้นการเคลื่อนตัวของทางเดินอาหารส่วนต้นให้ทำงานมากขึ้น แต่จะลดการสร้างกรด และสารคัดหลั่งต่างๆในกระเพาะอาหาร โดยมีผลต่อการลดการกระตุ้นของศูนย์ควบคุมการอาเจียนที่สมอง เพิ่มการบีบตัวของกล้ามเนื้อหูรูดระหว่างหลอดอาหารกับกระเพาะอาหาร ไม่ให้อาหารในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับ และเพิ่มประสิทธิภาพการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กเพื่อให้อาหารในกระเพาะอาหารเคลื่อนตัวไปสู่ลำให้ได้เร็วขึ้น
    ยาแก้อาเจียนชนิดที่ชื่อ Metoclopamide นี้นิยมใช้แก้อาเจียนในสัตว์ป่วยตัวที่เป็นโรคไตวาย กระเพาะอาหารอักเสบ โรคเกี่ยวกับการทำงานหรือการบีบตัวของกระเพาะและลำไส้ทำงานน้อยผิดปรกติ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้สัตว์อาเจียนได้ทั้งสิ้น สำหรับการใช้แก้อาเจียนกับสัตว์ตัวที่เป็นโรคไตวายนั้นควรใช้ยาในขนาดที่ลดลงกว่าปรกติ เนื่องจากเป็นยาซึ่งถูกขจัดออกจากร่างกายโดยการขับออกทางไต ถ้าสัตว์ป่วยด้วยโรคไตวายแล้วการขจัดยาออกจากร่างกายจะน้อยกว่าปรกติ การใช้ยาจึงควรลดขนาดของยาลงด้วยเช่นกัน
    ข้อควรระวังในการใช้ Metoclopamide คือ ห้ามใช้ในสัตว์ตัวที่อาเจียนเนื่องมาจากการอุดตันของลำไส้ ทางเดินอาหารมีแผลหรือมีการตกเลือดในทางเดินอาหาร และต้องใช้อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษในสัตว์ที่มีอาการ ชักร่วมด้วย
    ผลข้างเคียงของยาแก้อาเจียน Metoclopamide เกิดขึ้นได้เช่นกัน สัตว์ตัวที่ได้รับยาอาจมีอาการ ซึม บางตัวอาจเกิดอาการท้องผูกได้ หรือในรายที่ได้รับยาเกินขนาด จะส่งผลให้สัตว์ซึม วิงเวียน เดินโซเซ อาเจียน และท้องผูกได้
    อย่างไรก็ตาม ยาแก้อาเจียน Metoclopamide มีความปลอดภัยในการใช้ค่อนข้างสูง ถึงแม้ว่ายังไม่ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาเพื่อใช้ในสัตว์เลี้ยง แต่จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง ผลปรากกฎว่า ไม่มีผลกระทบต่อสัตว์ในขณะตั้งท้อง การศึกษาในคนพบว่ายาสามารถผ่านทางน้ำนมได้ ส่วนการใช้ยาในสัตว์แก่นั้นถือว่าสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย แต่อาจต้องลดปริมาณของยาลง เนื่องจากว่าในสัตว์แก่ ไตย่อมมีระบบการทำงานเสื่อมถอยลง
    การใช้ยาชนิดที่ว่านี้จึงต้องระมัดระวังมากขึ้น ในลูกสุนัข ลูกแมว หรือสัตว์อายุน้อยๆ ยังไม่มีรายงานการศึกษาถึงความปลอดภัยของการใช้ยานี้อย่างแน่ชัด ดังนั้นไม่ควรใช้กับลูกสัตว์ตัวเล็กๆ หรือควรปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนใช้
    อาเจียนเกิดได้จากหลายสาเหตุครับ ไม่ว่าจะเป็น การติดเชื้อในการะเพาะ อาหารและลำไส้ กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ทางเดินอาหารอุดตัน โรคเบาหวาน ไตวาย และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นการให้ยาแก้อาเจียนต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป และในบางรายไม่สมควรให้ยาแก้อาเจียน เช่น กรณีของสัตว์ตัวที่อาเจียนและมีการเสียเลือดตกเลือดในทางเดินอาหาร หรือมีการอาเจียนจากการอุดตันของทางเดินอาหารเป็นต้น ขอส่งท้ายด้วยคำแนะนำที่ว่า ก่อนตัดสินใจให้ยาแก้อาเจียนต้องแน่ใจว่า สัตว์ไม่มีอาการดังกล่าวข้างต้นร่วมด้วย หรือให้ปรึกษาคุณหมอ และการดูแลสุขภาพสัตว์ให้แข็งแรงสมบูรณ์โดย ไม่มีโรค เพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้ยาถือเป็นดีที่สุดครับ

    -----------------------
  • น้ำยาล้างตาสำหรับสัตว์เลี้ยง
    ฉบับนี้จึงขอแนะนำวิธีดูแลสัตว์เลี้ยงด้วยตนเอง ทั้งนี้เมื่อสัตว์มีอาการเจ็บตา ระคายเคืองตา หรือมีขี้ตาสกปรกเมื่อไร เจ้าของสามารถทำความสะอาดนัยน์ตาของสัตว์เพื่อลดความระคายเคือง ซึ่งช่วยลดอาการอักเสบ หรือลดการติดเชื้อลงได้ ถ้ได้ทำความสะอาดให้สัตว์อย่างสม่ำเสมอ หรือสุนัขตัวที่ไม่มีปัญหาก็สามารถใช้ยาทำความสะอาดตาให้ได้อย่างสม่ำเสมอเช่นกัน ถือเป็นการรักษาความสะอาดไปในตัว

    บอริก แอซิค (Boric acid) เป็นสารละลายซึ่งสามารถใช้สำหรับทำความสะอาดนัยน์ตาของสัตว์ได้เป็นอย่างดี เพราะความที่มีสภาพความเป็นกรดอ่อนๆ นี้เองจึงมีคุณสมบัติในการทำความสะอาดฆ่าเชื้อในดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งน้ำยาล้างตาที่เราใช้กันอยู่นั้นก็มีบอริก แอซิค เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ คุณสมบัตินอกจากใช้ล้างทำความสะอาดตาแล้ว ยังสามารถใช้ล้างทำความสะอาดช่องหู หรือผิวหนังของสัตว์เลี้ยงเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และขจัดเชื้อราที่ผิวหนัง ประเภทเชื้อยีสต์ได้เป็นอย่างดีทีเดียว แล้วยังเป็นสารละลายซึ่งมีความปลอด ภัยและมีราคาย่อมเยาด้วย

    การใช้ บอริก แอซิคนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในรูปของน้ำยาล้างตาสำเร็จรูป ดังนั้น จึงสามารถใช้ทำความสะอาดตาให้สัตว์เลี้ยงได้โดยง่ายเพื่อป้องกันการติดเชื้อระคายเคืองจากปัจจัยต่างๆ ทั้งสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งจากปัญหาทางกายวิภาคลูกนัยน์ตาของตัวสัตว์เอง โดยเฉพาะสุนัขสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงมากกว่าสุนัขพันธ์อื่นๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น

    อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญในการใช้น้ำยาล้างตาซึ่งมีส่วนผสมของสารละลายบอริก แอซิคคือ หลังจากล้างทำความสะอาดตาให้สัตว์เลี้ยงเสร็จแล้ว ผู้ใช้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเช็ดนัยน์ตาของสัตว์ให้แห้งด้วยสำลีหรือผ้าสะอาดเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงเลียเอาสารละลายนี้เข้าไป ซึ่งอาจเกิดอันตรายจากการกลืนกินได้ นอกจากนี้บอริก แอซิคยังถูกใช้เป็นส่วนผสมในการทำแชมพูและน้ำยาล้างหูสำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นสารละลายที่ใช้เฉพาะภายนอกเท่านั้น และไม่แนะนำให้ใช้ทำความสะอาดผิวหนังที่มีลักษณะเป็นแผลฉกรรจ์ หรือแผลตามเยื่อเมือกต่างๆ เพราะว่าร่างกายอาจจะดูดซึมสารนี้เข้าสู่ร่างกายได้ แต่อันตรายจากการกิน เลีย หรือแม้แต่การดูดซึมของสารละลาย boric acid ผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อเมือกอาจไม่ทำให้เกิดอันตรายมากนัก แต่ถ้าหากว่าได้รับเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานานในขนาดเล็กน้อยก็ตามก็อาจจะมีผลทำให้ลูกอัณฑะฟ่อในสัตว์เพศผู้ได้

    อาการพิษจากสารละลายบอริก แอซิค สังเกตได้คือ สัตว์มีอาการซึม ไม่อยากอาหาร น้ำลายยืด อาเจียน และถ่ายเป็นมูกเลือด แต่ไม่ต้องตกใจไปนะครับ เพราะการที่อาการพิษปรากฏได้นั้นต้องได้รับสารเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากทีเดียว ส่วนใหญ่เกิดจากการกินสารบอริก แอซิคชนิดผงๆ ซึ่งยังไม่เป็นสารละลายเสียมากกว่า แต่ถ้านำสารละลายนี้มาล้างทำความสะอาดตา ผิวหนัง ช่องหูล่ะก็ รับรองได้ว่า ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ถ้าท่านผู้ใช้ปฏิบัติตามคำแนะนำไปแล้วข้างต้น

    บอริก แอซิคใช้ได้กับสัตว์ทุกชนิด ทุกเพศและทุกวัย แต่ถ้านำไปใช้กับสัตว์ตั้งท้องหรือกรณีสัตว์ตัวที่อยู่ในช่วงให้น้ำนม ก็ต้องระวังกรณีที่ลูกสุนัขจะดูดนมคือ ต้องไม่ดูดกินเอาสารละลายที่ตกค้างอยู่ที่บริเวณเต้านมแม่สุนัขเข้าไปด้วย สรุปว่าสิ่งสำคัญในการใช้ก็คือ หลีกเลี่ยงไม่ให้สัตว์กินเข้าไปเท่านั้นเอง แต่ถ้าไม่แน่ใจให้รีบปรึกษาและขอคำแนะนำจากสัตว์แพทย์ก่อนเป็นดีครับ เมื่อเห็นประโยชน์ของสารละลายบอริก แอซิค ดังที่กล่าวไว้ในข้างต้นแล้ว คิดว่าน่าจะมีติดบ้านไว้เป็นยาสามัญประจำบ้านสำหรับสัตว์ได้อีกชนิดหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังดังที่กล่าวไว้

    บอริก แอซิคนั้นนอกจากนำมาใช้ประโยชน์ในรูปของสารละลายแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ในรูปของผงที่ยังไม่ละลาย โดยใช้ประโยชน์ในการกำจัดแมลงรบกวนต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น หมัด เป็นต้น ซึ่งจะมาแนะนำในโอกาสต่อไปครับ

    -------------------------
  • สัตว์เลี้ยงท้องผูก...ใช้ยาอะไรดี
    สัตว์ป่วยขาประจำของผมตัวที่ต้องมาเจอะเจอกันเสมอในทุกเดือน มีอยู่2-3 ตัวครับ ไม่ได้ป่วยรุนแรงอะไรมากหรอกนอกจาก"อาการท้องผูก" แต่ต้องช่วยกันรักษาด้วยวิธีต่างๆ ทั้งสวน ควัก ล้วง ใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่อนำอุจจาระเจ้าปัญหาออกมาให้ได้ กว่าสัตว์จะได้สบายตัวขึ้นต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ หนักหนาเอาการล่ะครับ สัตว์ต้องเจ็บตัว เจ้าของสัตว์ยืนมองด้วยความสงสาร และสำหรับสัตวแพทย์นั้นรักษาสัตว์ด้วยความสงสารและด้วยความทนเหม็น บางตัวก็ถึงขั้นเหม็นเอามากๆ ทีเดียว เมื่อประมวลประสบการณ์ในการล้วงอุจจาระให้สัตว์ของผม พบว่าอาการท้องผูกมักเกิดในแมวมากกว่าสุนัขครับ
    วิธีการสังเกตแมวท้องผูก แมวตัวไหนไม่ได้ถ่ายมาหลายๆ วัน มักมีอาการที่เจ้าของพึงสังเกต เช่น ตัวแห้งขาดน้ำ ขนหยาบหยอง กินอาหารน้อยลงหรือไม่ยอมกินอาหาร อาจรุนแรงถึงขั้นอาเจียน มีน้ำลายไหลออกมาจากปากเลยก็มี ถ้าคลำบริเวณท้องจะพบก้อนแข็งของอุจจาระได้อย่างชัดเจน ผู้เลี้ยงควรหมั่นสังเกตสัตว์เลี้ยงให้ดีโดยเฉพาะสุนัขหรือแมวตัวที่เคยมีประวัติได้รับอุบัติเหตุเกี่ยวกับกระดูกเชิงกราน ป่วยเป็นโรคของต่อมลูกหมากโต หรือสัตว์ตัวที่อายุมากๆ มักเป็นสาเหตุให้สัตว์ในภาวะนั้นๆ ไม่ค่อยขับถ่ายหรือถ่ายลำบาก หากสังเกตเห็นว่าสัตว์มีอาการท้องผูกในระยะแรกสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ยาระบาย ที่สำคัญคือต้องแก้ไขสาเหตุของอาการท้องผูกด้วย ถ้าปล่อยปละละเลยไม่ดูแลสัตว์เลี้ยงปัญหาท้องผูกอาจลุกลามที่นี้ต่อให้ยาระบายไม่สามารถช่วยได้แล้ว ต้องนำสัตว์ป่วยมาสวนทวาร ล้วงอุจจาระกันอยู่บ่อยๆ อย่างรายของสัตว์ป่วยเจ้าประจำของผมก็เป็นได้
    สาเหตุของท้องผูก มีอยู่หลายสาเหตุ อาทิ กินอาหารซึ่งมีกากใยน้อย กินน้ำน้อย ขาดน้ำ สัตว์กินสิ่งที่ย่อยยาก กินสิ่งแปลกปลอม เช่น ก้อนขน กระดูกเข้าไป หรือสาเหตุจากพฤติกรรมหรือสิ่งแวดล้อมทำให้สัตว์ไม่ชอบขับถ่าย หรือสัตว์เป็นโรคที่ทำให้เจ็บปวดเวลาขับถ่าย ทำให้ไม่ยอมขับถ่ายอย่างเช่น มีเนื้องอก หรือเป็นฝีที่ต่อมลูกหมาก เป็นไส้เลื่อน มีความผิดปรกติของช่องเชิงการเป็นต้น สาเหตุต่างๆ เหล่านี้ล้วนทำให้สัตว์ขับถ่ายลำบากและเกิดท้องผูกได้ทั้งสิ้น

    ยาระบายช่วยในการขับถ่ายช่วยให้สัตว์ถ่ายได้ง่ายขึ้นมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่คือ
    1.ยาระบายที่ช่วยหล่อลื่นก้อนอุจจาระในลำไส้ และยังทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มขึ้น
    2. ยาที่ทำให้อุจจาระจับตัวเป็นก้อน
    3. ยาที่ทำให้เพิ่มแรงดันในลำไส้
    4. ยาที่กระตุ้นลำไส้ใหญ่โดยตรง
    ยาชนิดที่ช่วยหล่อลื่น และทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มขึ้นถือว่า เป็นยาตัวเลือกที่นิยมใช้มากชนิดหนึ่งในทางสัตวแพทย์ครับ
    ยาในกลุ่มนี้มักเป็นที่รู้จักกันในชื่อการค้าเช่น Agarol หรือตัวยาออกฤทธิ์คือ mineral oil แต่บางท่านอาจรู้จักกันในชื่อของ liquid paraffin มีลักษณะเป็นของเหลว หนืดข้นเหมือนน้ำมันพืช ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี แม้ว่ามีลักษณะคล้ายน้ำมันพืช แต่ mineral oil มีคุณสมบัติแตกต่างจากน้ำมันพืชอย่างสิ้นเชิง ซึ่งน้ำมันพืชนั้นย่อยและดูดซึมได้จึงไม่สามารถคงอยู่ในทางเดินอาหารเพื่อเคลือบและหล่อลื่นอุจจาระที่แข็งในลำไส้ได้ ขณะที่คุณสมบัติของ mineral oil คือไม่สามารถย่อยและไม่ดูดซึมได้ในทางเดินอาหารทำให้คงอยู่ในทางเดินอาหาร จึงสามารถเคลือบ หล่อลื่นและทำให้อุจจาระที่เป็นก้อนแข็งในทางเดินอาหารอ่อนตัวนิ่มขึ้น ส่วนมากแล้วจะใช้ในรายที่มีปัญหาท้องผูกระยะแรกที่ยังไม่รุนแรง ด้วยการป้อนให้สัตว์ตัวที่ท้องผูกกิน โดยเฉพาะในรายที่ท้องผูกจากปัญหาก้อนขนซึ่งสัตว์เลียและกินขนนเข้าไปพันขวางทางเดินอาหาร หรือในแมวตัวที่มีปัญหาสำไส้ใหญ่ขยายใหญ่ ทำให้อุจจาระค้างอยู่ที่ลำไส้ใหญ่เป็นปริมาณมากและการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบของลำให้ใหญ่ทำงานได้ไม่เต็มที่ การถ่ายอุจจาระจึงลำบาก สัตว์เจ็บปวดมาก mineral oil เป็นยากิน หรือนำมาสวนทวารเพื่อทำให้การอุจจาระที่อุดตันอยู่ที่ลำไส้นุ่มขึ้น ลื่นขึ้น ถ่ายได้ง่ายขึ้น
  • ยาระบายในรูปแบบที่ช่วยหล่อลื่นอุจจาระและทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มนี้ ถือว่ามีความปลอดภัยหรือมีผลกระทบในการใช้กับสัตว์ป่วยน้อยมาก สามารถให้ได้ในลูกสัตว์ สัตว์ตัวที่ตั้งท้อง หรือสัตว์แก่ แต่สิ่งที่ต้องระวังในการใช้คือการสำลักจากการป้อน mineral oil ให้สัตว์กิน เนื่องจากว่ายาที่ว่ามีรสชาติที่ไม่น่ากิน ข้น หนืด กลืนลำบากสัตว์หลายๆ ตัวมักปฏิเสธการกินยา ทำให้สำลักลงคอ ลงปอดได้ง่ายๆ และอาจทำให้ปอดบวม ปอดอักเสบตามมา ดังนั้นจึงไม่ควรป้อนให้กับสัตว์ที่มีความเสี่ยงต่อการสำลักได้ง่ายเช่น ป้อนตอนที่สัตว์ไม่รู้สึกตัวหรือกำลังหลับอยู่ สัตว์ที่มีความสามารถในการกลืนผิดปรกติ กำลังอาเจียน สัตว์ตัวที่ยังอายุน้อยมากๆ หรือตัวที่มีหลอดอาหารโป่งพอง ท้องอืดเป็นต้น
    สำหรับปริมาณที่ให้สัตว์กินนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของตัวสัตว์ สำหรับสุนัขให้กินได้ประมาณครั้งละ 2 - 60มิลลิลิตร ส่วนในแมวให้กินได้ประมาณครั้งละ 2 - 10 มิลลิลิตร ถ้าให้กินในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดการถ่ายเหลว หรือมี mineral oil ไหลออกมาทางทวารหนักได้
    ผลข้างเคียงของการใช้ยา สัตว์ตัวที่ต้องให้ยาระบายนี้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ อาจมีผลต่อการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันเช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอีและวิตามินเค ลดการดูดซึมสารอาหารบางชนิดที่อาศัยไขมันในการดูดซึม และลดประสิทธิภาพของยาบางชนิดที่ละลายในไขมัน ฉะนั้นระยะเวลาที่เหมาะสมในการให้ยาระบายจำพวกmineral oil ต้องป้อนให้สัตว์ประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนอาหาร หรือหลังอาหาร อย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้อาหารย่อยให้เรียบร้อยเสียก่อน จะช่วยลดปัญหาข้างต้นได้ การให้ยาระบาย mineral oil กับสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง บางส่วนที่ถูกดูดซึมได้ในทางเดินอาหารบ้าง ถ้า mineral oil ถูกดูดซึมเป็นเวลานานๆ ในปริมาณที่เพียงพอแล้วอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อ ตับ และอวัยวะภายใน ส่งผลให้เกิดการอักเสบต่อตับหรืออวัยวะภายในได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานว่ามีผลกระทบต่อแมวในการใช้เป็นระยะเวลานานๆ เลย ถ้าจำเป็นต้องใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ควรปรึกษาและรับคำแนะนำจากสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

    เท่าที่แนะนำเป็นวิธีหนึ่งที่บรรเทาอาการท้องผูกของสัตว์เลี้ยงในระยะที่ไม่รุนแรงมากนัก ซึ่งยังมียาระบายอีกหลากหลายชนิดที่มีให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละกรณีไป อย่างไรก็ตาม การแก้ไขไม่ให้สัตว์ท้องผูก ด้วยการปรับอาหารการกินให้เหมาะสม เพิ่มกากใย ให้ย่อยง่าย และกินน้ำให้เพียงพอ พาสัตว์เลี้ยงออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สังเกตพฤติกรรมการขับถ่าย รวมทั้งสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อให้สัตว์ขับถ่ายได้อย่างสะดวก เป็นต้นว่าผู้เลี้ยงแมวต้องหมั่นทำความสะอาดเปลี่ยนทรายในกระบะขับถ่าย สิ่งสำคัญต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นวิธีป้องกันอาการท้องผูกที่ดีวิธีหนึ่งเลยทีเดียว จะได้ไม่ต้องป้อนยาระบายหรือต้องนำสัตว์ไปล้วงอุจจาระให้ลำบาก

    ----------------------
  • ถ่านดูดซับสารพิษในร่างกาย (ACTIVATED CHARCOAL)
    หากกล่าวถึง Activated charcoal หลายท่านคงสงสัยว่า มันคืออะไร มีหน้าตาอย่างไร แต่ถ้ากล่าวถึงถ่าน
    คงรู้จักกันดีอย่างแน่นอน ส่วนประกอบหลักๆ คือธาตุคาร์บอน (Carbon) จากธรรมชาติ ที่ได้จากการเผาไหม้ของพืช หรือเนื้อไม้ ขบวนการเผาไหม้เพื่อให้ได้ถ่านมาไม่ธรรมดานะครับ กล่าวคือต้องเกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่ใช้ออกซิเจน
    คุณสมบัติของถ่านมีประโยชน์มากมาย เช่น ทำให้เกิดพลังงานความร้อนในการปรุงอาหาร สำหรับคุณสมบัติพิเศษที่สำคัญคือ เป็นสารดูดซับที่วิเศษจริงๆ สมัยก่อนมักนำก้อนถ่านไว้ในตู้เย็นเพราะมันช่วยในการดูดซับกลิ่นอับชื้นที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังใช้ในการดูดซับสารพิษ สารเคมี ความสกปรก และดูดซับสี กลิ่น รสในน้ำ และในอากาศ ดังนั้นจึงมีการนำถ่านมาใช้ในอุตสาหกรรมในการกรองน้ำ ทำให้น้ำสะอาดขึ้นในการทำน้ำประปา การบำบัดน้ำเสีย หรือกรองอากาศทำให้อากาศบริสุทธิขึ้น เป็นต้น
    คุณสมบัติต่างๆ เกี่ยวกับการดูดซับที่ดีของถ่านนี้เอง จึงนำมาสู่การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เพื่อดูดซับสารพิษในร่างกายต่างๆ เชื่อว่าหลายๆ ท่านที่เคยป่วยด้วยอาการ อาเจียน ท้องเสียจากอาหารเป็นพิษ นอกจากได้รับยาแก้ท้องเสียแล้วอาจมียาเม็ดสีดำๆ มาด้วย คือ Activated charcoal เป็นยากินเพื่อช่วยลดพิษที่เกิดจากอาหารเป็นพิษซึ่งยังหลงเหลืออยู่ในกระเพาะอาหาร
    ในทางสัตวแพทย์นิยมนำคุณสมบัติของถ่านมาใช้ประโยชน์เช่นกัน ใช้กับสัตว์ตัวที่ได้รับยาเบื่อ หรือสารพิษต่างๆ เพื่อเป็นการดูดซับสารพิษในทางเดินอาหาร เช่น เจ้าของป้อนยาสัตว์มากเกินขนาด หรือสัตว์กินยาเข้าไปด้วยด้วยซุกซนของมัน หรือสัตว์ได้รับสารพิษ หรือยาเบื่อจากผู้ที่ไม่ประสงค์ดี หวังปลิดชีวิต สัตว์ที่ได้รับสารพิษ หรือยาที่เกินขนาดเข้าไปจะแสดงอาการแตกต่างกันไปตามแต่ชนิดของยาที่กินเข้าไป ควรจดจำรายละเอียดของอาการ และชนิดของยาหรือสารพิษที่สัตว์กินเข้าไปแจ้งให้สัตวแพทย์ทราบ หรือนำยาหรือสารออกฤทธิ์ ชนิดที่สงสัยว่าสัตว์เลี้ยงของเรากินติดไปด้วยได้ยิ่งดี ในกรณีนี้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นถือว่าจำเป็นเช่นกัน ซึ่งเจ้าของสามารถกระทำได้ ป้อนนม หรือไข่ขาวเพื่อลดความเป็นพิษและลดการดูดซึมของสารพิษเข้าสู่ร่างกายของสัตว์ หรือการทำให้สัตว์อาเจียน แต่พึงเข้าใขก่อนว่า สัตว์ตัวนั้นต้องมีสติอยู่ หรือมีความสามารถในการกลืนอยู่หรือไม่ เพื่อที่จะไม่ให้เกิดการสำลักอาเจียนได้ซึ่งอาจทำให้เกิดปอดบวมตามมา และข้อพึงจดจำอีกประการคือ ในการช่วยอาเจียนนั้นสารเคมีซึ่งสัตว์กินเข้าไปต้องไม่มีฤทธิ์กัดเนื้อเยื้อเป็นอันขาด สำหรับวิธีการทำให้สัตว์อาเจียนคือ ป้อนเกลือแกงสัก 1-2 ช้อนโต๊ะ ไม่นานหลังจากที่สัตว์จะอาเจียนออกมา หลังจากนั้นท่านสามารถป้อนยาดูดซับสารพิษชนิดที่กล่าวมาได้เลย

    Activated charcoal หรือถ่านมีลักษณะเป็นผงละเอียด และเป็นเม็ดซึ่งสะดวกในการรับประทานกว่า ประโยชน์คือ ดูดซับสารพิษในทางเดินอาหาร แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับว่า Activated charcoal เป็นยาแก้พิษ เป็นเพียงแค่สามารถลดปริมาณพิษที่สัตว์กินเข้าไปให้ถูกดูดซับไว้เพื่อไม่ให้สารพิษที่สัตว์กินเข้าไปในทางเดินอาหารถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้หมด ดังนั้น การดูดซึมสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางเดินอาหารจึงลดน้อยลงได้ ส่วนสารพิษที่ถูกดูดซึมจะถูกขับออกจากร่างกายทางอุจจาระต่อไป
  • ข้อสำคัญในการใช้คือ ต้องให้ Activated charcoal ในทันทีที่สัตว์ได้รับสารพิษ หรือให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ก่อนที่ร่างกายสัตว์จะได้รับการดูดซีมสารพิษนั้นเข้าสู่กระแสเลือดไปมากเกินกว่าที่จะแก้ไขได้ แล้วควรให้ซ้ำอีกครั้งภายใน 24 ชั่วโมง หรือให้ได้ทุกๆ 2-6 ชั่วโมงถ้าสามารถทำได้ ส่วนใหญ่แล้ว Activated charcoal นั้นในทางสัตวแพทย์มักใช้ได้ผลดีในรายที่ได้รับสารพิษจำพวก ยาฆ่าแมลงยาต่างๆ เช่น Organophosphate, Carbamate, Chlorinated hydrocarbon, ยาเบื่อ Strychnine, สารประกอบโลหะหนักจำพวก สารหนู, ปรอท ซึ่งสัตว์อาจได้รับเข้าไปโดยการเลียสารเคมีต่างๆ ที่ผสมในแชมพูกำจัดเห็บหมัด หรือยากำจัดเห็บหมัดที่เจ้าของได้ทาหรือชโลมไว้ มีรายงานว่า Activated charcoal สามารถลดระดับของสารพิษในกระแสเลือดลงได้ แต่ไม่ค่อยได้ผลดีเท่าที่ควรในการดูดซับความเป็นพิษของสารจำพวกแอลกอฮอร์,Ferrous sulfate, Sodium chloride/chlorate หรือ nitrate สิ่งที่ต้องระลึกไว้ก็คือ Activated charcoal นั้นไม่ใช่ยาแก้พิษ แต่เป็นแค่เพียงลดความเป็นพิษลงจากการช่วยลดการดูดซึมของสารพิษเท่านั้น ฉะนั้นถ้าท่านสงสัยว่าสัตว์เลี้ยงของท่านกินสารพิษหรือได้รับยาเกินขนาดท่านสามารถช่วยสัตว์เลี้ยงของท่านในเบื้องต้นได้ โดยทำให้อาเจียนก่อนแล้วค่อยป้อน Activated charcoal หลังจากที่สัตว์อาเจียนแล้ว จากนั้นควรรีบนำไปพบสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด
    สิ่งที่ต้องคำนึงในการใช้คือ ควรป้อนด้วยความระมัดระวังอาจจะทำให้เกิดการสำลักได้ ถ้าสัตว์หมดสติไม่สามารถกลืนเองได้อย่าป้อนให้กับสัตว์เด็ดขาด ควรให้สัตวแพทย์จัดการโดยการบดผสมน้ำและใช้การป้อนทางสายยางจะดีกว่า ถ้าให้ Activated charcoal ร่วมกับน้ำนม หรือ Mineral oil จะทำให้ลดประสิทธิภาพในการดูดซับของ Activated charcoal ลงได้ ในทางกลับกันถ้าให้ Activated charcoal ร่วมกับยาตัวอื่นๆภายในระยะเวลาไม่เกิน3 ชั่วโมงหลังจากให้ยา Activated charcoal จะมีผลทำให้ลดประสิทธิภาพของยาลงได้
    ส่วนเรื่องของความปลอดภัยนั้นรับรองได้ว่าปลอดภัยแน่นอน สามารถใช้ได้กับทั้งในสัตว์ ตั้งท้อง เลี้ยงลูกให้นม ลูกสัตว์ไปจนถึงสัตว์แก่อายุมากก็ใช้ได้อย่างไม่มีอันตราย
    ------------------------------
    ยาทำความสะอาดแผล " ไอโอดีน "

    บ่อยครั้งที่ผมได้แนะนำให้เจ้าของทำความสะอาดแผลของสัตว์เลี้ยงตัวที่ได้รับอุบัติเหตุ หรือมีบาดแผลไม่รุนแรงนักด้วย " สารละลายไอโอดีน " เพื่อไม่ให้มีการติดเชื้อและทำให้แผลหายไวขึ้น หลายท่านคงงงๆ นึกไม่ออกว่า สารละลายไอโอดีนคืออะไร ถ้าเอ่ยชื่อ " ทิงเจอร์ไอโอดีน " คงคลายความฉงนได้
    เพราะยาฆ่าเชื้อดังกล่าวหาซื้อได้ง่าย มีจำหน่ายในร้านขายยาทั่วไปทุกร้านล่ะครับ อยู่ในรูปของสารละลายสีน้ำตาลเข้ม
    " ไอโอดีน " คือ แร่ธาตุสำคัญที่มีความจำเป็นต่อร่างกายเช่นเดียวกับแร่ธาตุชนิดอื่นๆ เช่น แคลเซียม โปแตสเซียม ฟลูโอไรด์ เหล็ก หรือสังกะสี เป็นต้น แร่ธาตุไอโอดีนนั้นพบว่ามีมากในจำพวกอาหารทะเล ร่างกายมีความต้องการแร่ธาตุชนิดนี้เพื่อใช้ในการสร้างฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ผู้ที่มีอาการขาดธาตุไอโอดีนทำให้เกิดเป็นโรคคอหอยพอกตามมาไงล่ะครับ ส่วนแบบที่ใช้เป็นยาทาภายนอกก็มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดแผล ฆ่าเชื้อ และรักษาบาดแผล ไม่ว่าแผลสด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก รวมทั้งมีคุณสมบัติป้องกันและลดการติดชื้อแบคทีเรีย เชื้อราและไวรัส โดยเฉพาะที่ผิวหนัง ปรกติแล้วไอโอดีนมีลักษณะเป็นเกล็ด หรือเรียกกันภาษาชาวบ้านว่า "ด่างทับทิม" คุณแม่บ้านมักนิยมนำมาใช้ล้างพืช ผัก ผลไม้ การนำไอโอดีนมาใช้เพื่อทำความสะอาดบาดแผลนั้นปรากฏครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1800 โดยนำมาใช้ในรูปของสารละลายทิงค์เจอร์ไอโอดีนซึ่งมีตัวทำละลายแอลกอฮอล์ เป็นยาใช้ใส่แผลสดที่สร้างความแสบเข้าไปถึงทรวงนั่นแหละครับ เหตุที่แสบเนื่องจากว่าทิงเจอร์ไอโอดีนเป็นไอโอดีนที่มีตัวทำละลายเป็นแอลกอฮอล์ แม้คุณสมบัติของมัน คือสามารถฆ่าเชื้อได้ดี แต่เนื่องจากว่ามีความระคายเคืองต่อบาดแผลเลยส่งผลทำให้แผลหายช้าได้ถ้าหมาเลียรวมทั้งให้ความรู้สึกแสบๆ คันๆ ที่ตามมา ดังนั้น ความนิยมใช้ทิงเจอร์ไอโอดีนในการทำความสะอาดแผลจึงลดลง ปัจจุบันนิยมเปลี่ยนมาใช้ " โพวิโดน-ไอโอดีน " ( POVIDONE - IODINE) ซึ่งมีคุณสมบัติระคายเคืองต่อบาดแผลน้อยกว่า และไม่แสบอย่างรุนแรงเท่ากับการออกฤทธิ์ของทิงเจอร์ไอโอดีน เนื่องจากว่าเป็นสารละลายไอโอดีนชนิดนี้มีตัวทำละลายเป็นน้ำ เวลาใช้ก็ไม่แสบ
    วิธีการใช้ เมื่อสัตว์เลี้ยงมีแผลจากการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง หรือไม่มีการเสียเลือดมาก วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นคือ ล้างทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้แอลกอฮอล์ หรือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรอกครับ แต่หลายท่านก็ชอบใช้วิธีนี้ เพราะรู้สึกว่า ฟองขาวๆ ฟู่ๆ มันชะแผลให้สะอาดดีแท้ ถ้าแผลนั้นไม่มีการติดเชื้อ มีหนองอย่างรุนแรง และไม่สกปรกมาก การใช้ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ยิ่งทำให้แผลหายช้าได้จากการระคายเคือง และฤทธิ์ที่กัดเนื้อเยื่อ และอาจเกิดเนื้อตายจากฤทธิ์กันกร่อนของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ก็เป็นได้
  • หลังจากทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดแล้ว ให้ซับบาดแผลให้แห้ง แล้วจึงทาด้วยโพวิโดน-ไอโอดีน (เพราะไม่ทำให้ระคายเคืองต่อแผล และสัตว์จะรู้สึกไม่แสบ) เพียงเท่านี้ก็พอ ทำให้ได้ซักวันละ 2-3 ครั้ง แล้วถ้าเป็นแผลลึก หรือแผลฉกรรจ์ และยังมีการติดเชื้อด้วยล่ะ ลักษณะนี้ควรพาไปหาสัตวแพทย์ดีกว่าครับ ถ้าเป็นแผลเรื้องรังล่ะ นอกจากทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดแล้ว สามารถใช้ โพวิโดน-ไอโอดีนผสมน้ำสะอาดหรือน้ำอุ่นให้เจือจางจนได้สีเหมือนสีน้ำชาใสๆ ใช้ทำความสะอาดแผลลักษณะนี้ด้วยการทำความสะอาดฆ่าเชื้อแช่ทิ้งไว้ประมาณ 5- 10 นาทีครับ
    ข้อควรระวังในการใช้ คือ ต้องระวังอย่าให้กระเด็นเข้าตาได้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดความระคายเคืองได้
    และเนื่องจากว่าสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านทางผิวหนัง เพราะฉะนั้นการใช้ในปริมาณมากๆ และติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจมีผลต่อร่างกายคือ ทำให้ปริมาณของธาตุไอโอดีนในกระแสเลือดสูงขึ้นได้ และอาจทำให้เกิดการเติบโตของต่อมไทรอยด์ที่มากผิดปรกติได้ หรือที่เรียกว่า โรค hyperthyroidism ซึ่งสัตว์ตัวที่เป็นมักแสดงอาการ อยากอาหารเพิ่มขึ้น หรือลดลงมากกว่าปรกติ แต่น้ำหนักตัวลดลง กระตือรือร้นมากกว่าปรกติ หรือว่าอยู่ไม่สุข (hyperactivity) ที่เรียกกันว่า "หมาไฮเปอร์" ล่ะครับ อาจมีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์ตัวที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคไตอาจทำให้เกิดโรค hyperthyroidism ได้มากกว่า เพราะประสิทธิภาพในการขจัดธาตุไอโอดีนออกจากร่างกายทางไตลดลง จึงทำให้มีธาตุไอโอดีนคั่งค้างในการะแสเลือดในสูงกว่าปรกติได้ ส่วนผลข้างเคียงอื่นๆ พบได้น้อยมาก มักมีปัญหาจากการแพ้ หรือระคายเคืองเฉพาะ ปรากฏบนผิวหนังที่สัมผัสเท่านั้น แต่ถือว่า โพวิโดน-ไอโอดีน ยังเป็นที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะไม่แสบและไม่ระคายเคืองต่อแผลครับ
    -------------------------------------------

    ยาถ่ายพยาธิตัวตืด : Praziquantel

    ยาถ่ายพยาธิ มีหลายชนิดให้เลือกให้ใช้ ขึ้นอยู่กับความจำเพาะต่อชนิดของพยาธิ รวมถึงความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยงซึ่งเราต้องการถ่ายพยาธิ เช่น อายุน้อย อายุมาก กำลังป่วย หรือกำลังตั้งท้องอยู่ ฉะนั้น ควรเลือกใช้ยาถ่ายพยาธิให้เหมาะสมกับสัตว์ตัวนั้นๆ และควรทราบด้วยว่ามียาถ่ายพยาธิบางชนิดที่ใช้เพียงเม็ดเดียว ออกฤทธิ์เพียงครั้งเดียว แต่ที่สำคัญคงต้องนึกถึงความปลอดภัยของสัตว์ตัวที่ได้รับการถ่ายพยาธิเป็นสำคัญครับ
    อย่างไรก็ตาม ได้แนะนำในฉบับที่แล้วว่า แม้ยาถ่ายพยาธิไพแรนเทล (PYRANTEL) จะให้ผลดีสำหรับใช้ถ่ายพยาธิตัวกลมได้หลายชนิด และมีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีข้อจำกัดคือ ไม่สามารถใช้ถ่ายพยาธิตัวแบนหรือพยาธิตัวตืดได้ ดังนั้น การถ่ายพยาธิชนิดนี้ที่นิยมใช้กันคือ ปราซิควอนเทล
    พยาธิตัวตืด มีวงจรชีวิตแตกต่างจากพยาธิตัวกลมอย่างสิ้นเชิง การติดต่อของพยาธิตัวตืดโดยทั่วไปนั้นเกิดได้จากสัตว์ไปยังสัตว์ด้วยกัน และติดต่อจากสัตว์มาสู่มนุษย์เรา หรือติดต่อระหว่างคนด้วยกันโดยอาศัยพาหะตัวกลาง ตัวของพยาธิตัวตืดซึ่งเป็นตัวเต็มวัยอาศัยอยู่ที่ลำไส้เล็ก ส่วนตัวพยาธิที่เราสังเกตเห็นออกมาจากรูทวารของสัตว์มีลักษณะตัวแบนๆ ยาวๆ ต่อกันเป็นปล้องๆ หรืออีกชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายตัวหนอนแมลงวัน ตัวแบนๆ เล็กๆ ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร เคลื่อนไหวหรือติดอยู่ที่รูทวารของสัตว์ นั่นก็เป็นพยาธิตัวตืดอีกชนิดหนึ่งเช่นกันครับ เรียกว่า พยาธิเม็ดแตงกวา ที่เราเห็นคือส่วนหนึ่งของพยาธิตัวตืดซึ่งเป็นปล้องสุกเต็มที่ ปล้องของพยาธิเหล่านี้สามารถเคลื่อนไหวออกมาบริเวณรูทวารของสัตว์ ดังนั้น สัตว์ที่มีพยาธิตัวตืดมักมีอาการคันก้น ภายในปล้องที่ว่านี้จะเต็มไปด้วยไข่พยาธิซึ่งพร้อมที่จะหลุดร่วงลงสู่สิ่งแวดล้อมและแพร่ขยายต่อไป โดยเริ่มแฝงเข้าสู่พาหะกึ่งกลางของพยาธิ เช่น ตัวหมัดหมา หมัดแมว พยาธิตัวตืดบางชนิดจะมีตัวอ่อนแฝงมาในปลา หอย หมู และวัว ถือเป็นพาหะกึ่งกลางในการนำโรคพยาธิตัวตืดได้เช่นกัน หลังจากนั้นพาหะกึ่งกลางเหล่านี้กินไข่พยาธิตัวตืดที่อยู่ในปล้องสุกเข้าไป จากนั้นไข่จะกลายเป็นตัวอ่อน ระยะติดต่อพร้อมที่จะติดต่อมาสู่สุนัข แมว หรือแม้แต่มนุษย์ โดยการกินพาหะกึ่งกลางที่มีตัวอ่อนระยะติดต่อเข้าไป เช่นว่า หมากินหมัด แมวกินเนื้อหรือปลาดิบๆ เข้าไปนั่นเอง

    --------------------------------
  • พยาธิตัวตืดนั้นแม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายมากเท่ากับพยาธิตัวกลมก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าคงไม่มีท่านใดอยากให้สัตว์เลี้ยงมีพยาธิแน่ๆ เพราะการมีพยาธิถือได้ว่าสัตว์เลี้ยงมีสุขอนามัยที่ไม่ดี และอาจเป็นสาเหตุให้นำพยาธิตัวตืดมาติดเราได้อีกต่างหาก เพราะฉะนั้น ทั้งสุนัขและแมวควรได้รับการป้องกันและถ่ายพยาธิเป็นประจำเพื่อรักษาสุขอนามัยที่ดีของทั้งคนและสัตว์
    "ปราซิควอนเทล" สามารถออกฤทธิ์ในการกำจัดพยาธิตัวตืดได้หลายชนิด เช่น พยาธิตัวตืดเม็ดแตงกวา (Dipylidium caninum), พยาธิตัวตืด Taenia (T. pisiformis, T. taeniaeformis) Echinococcus granulosus, E. multilocularis, Diphyllobothrium latum, Spirometra mansonoides, พยาธิตัวแบนในปอด (Paragonimus kellicotti) เมื่อสัตว์ได้รับยาถ่ายพยาธิชนิดนี้เข้าไปแล้ว ยาจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทางลำไส้เล็ก ซึ่งยาจะถูกสันดาปที่ตับ หลังจากนั้นจึงค่อยออกมาสู่ลำไส้เล็กอีกทีหนึ่งทางน้ำดีเพื่อออกฤทธิ์กำจัดพยาธิตัวตืด โดยตัวยาจะไปรบกวนการดูดจับของปากพยาธิต่อผนังลำไส้เล็กของสัตว์ รวมไปถึงการทำให้ผนังลำตัวของพยาธิตัวตืดเสียสภาพ ส่งผลให้พยาธิตายในที่สุด และถูกย่อยสลายภายในลำไส้ของสัตว์ก่อนแล้วจึงถูกขับออกมาพร้อมกับอุจจาระ ด้วยเหตุนี้เองเราจึงไม่ค่อยได้พบเห็นว่ามีพยาธิตัวตืดออกมาพร้อมกับอุจจาระหลังการถ่ายยาให้สัตว์ ยาถ่ายพยาธิชนิดนี้สามารถถ่ายพยาธิได้ทั้งในระยะเป็นตัวอ่อน และตัวเต็มวัย แต่ไม่สามารถกำจัดไข่ของพยาธิตัวตืดได้
    ในเมื่อพยาธิตัวตืดติดต่อโดยอาศัยพาหะกึ่งกลาง การถ่ายพยาธิคงไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดเป็นแน่ ดังนั้น การป้องกัน คือวิธีที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย เช่น กำจัดหมัดให้สุนัขและแมวเพื่อให้พาหะของโรคพยาธิเม็ดแตงกวาหมดไป ระวังไม่ให้สัตว์เลี้ยงกินหมัดซึ่งอาจมีไข่พยาธิแฝงอยู่ และเราเองไม่ควรบี้หมัดแล้วเอาให้หมากิน และที่สำคัญคือเมื่อจับหมัดได้แล้วไม่ควรเอามาบี้จนแตก เพราะอาจมีตัวอ่อนของพยาธิติดตามซอกเล็บของเรา เมื่อหยิบอาหารเข้าปากขณะที่ยังไม่ได้ล้างมือ ย่อมมีโอกาสให้พยาธิเข้าสู่ร่างกายเราก็ได้
    สำหรับท่านผู้เลี้ยงแมวก็ต้องระวังไว้เช่นกันครับ เพราะแมวชอบไล่จับและกินหนูซึ่งอาจมีหมัดแฝงอยู่ ฉะนั้น ควรหลีกเลียงไม่ให้แมวกินเนื้อสัตว์ หรือเนื้อปลาดิบๆ เพราะอาจมีตัวอ่อนของพยาธิตัวตืดแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน พึงตระหนักว่าถ้าสุนัขหรือแมวของท่านมีความเสี่ยงต่อการติดพยาธิตัวตืดไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตามดังที่ได้กล่าวมา ควรได้รับการถ่ายพยาธิบ่อยครั้งมากขึ้น โดยให้กินยาถ่ายพยาธิปราซิควอนเทล ทุกๆ 3-4 สัปดาห์ และพยายามกำจัดหมัด หรือต้นเหตุของปัญหาต่างๆ ดังที่กล่าวมาควบคู่ไปด้วย
    ข้อควรระวังในการใช้ยาชนิดนี้ คือ ไม่ควรให้ยาสัตว์ขณะท้องว่าง ควรให้ยาพร้อมอาหารทันที โดยให้ในขนาด 5-10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เพื่อใช้ถ่ายพยาธิตัวตืดเม็ดแตงกวา Dipylidium , Taenia และ Echinococcus ยาถ่ายพยาธิชนิดนี้ไม่แนะนำให้ใช้กับสัตว์ที่มีอายุต่ำกว่า 4 สัปดาห์ สำหรับลูกสุนัข และต่ำกว่า 6 สัปดาห์ สำหรับลูกแมวนะครับ และไม่ควรใช้กับสัตว์ที่กำลังป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวกับตับ หรือโรคไต ผลข้างเคียงจากการใช้ยานี้อาจทำให้สัตว์ง่วงซึม ความอยากอาหารลดลง แต่ถ้าในกรณีที่สัตว์ได้รับยาเกินขนาดมากก็อาจทำให้สัตว์มีอาการอาเจียน ท้องเสีย ซึม น้ำลายยืด กล้ามเนื้อสั่นกระตุก และรุนแรงถึงตายได้เช่นกัน
    ถ้าต้องการให้ตัวท่านเองและสัตว์เลี้ยงมีสุขภาพที่ดี ไม่มีพยาธิคอยเบียดเบียน ทั้งพยาธิตัวกลม พยาธิตัวแบน พยาธิตัวตืด เรียกว่าปลอดจากกาฝากทั้งหลาย ต้องดูแลถ่ายพยาธิและกำจัดตัวพาหะทั้งหลายอย่างสม่ำเสมอ บ่อยแค่ไหนนั้นขึ้นกับความเสี่ยงในการรับพยาธิ ซึ่งท่านสามารถขอคำปรึกษาจากสัตวแพทย์ได้ครับ

    --------------------------------
  • สุดยอดเลยครับ ยังไม่ได้อ่านเลย แต่คุณมีความเพียรมากเลยครับ
  • IVERMECTIN
    "ไอเวอร์แมกติน" (Ivermectin) เป็นยาอีกตัวหนึ่งซึ่งนิยมใช้กันมากในการรักษาสัตว์ และผมคิดว่าเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในบรรดาผู้เลี้ยงสัตว์ด้วยเช่นกัน จึงแนะนำเป็นยาน่ารู้ประจำฉบับเพื่อให้เข้าใจอย่างถูกต้องครับ
    "ไอเวอร์แมกติน" มีชื่อทางการค้าที่รู้จักกันดีจนเรียกติดปากกันว่า "ไอโวแมก" (Ivomec) ชื่อนี้ผมได้ยินเป็นเกือบทุกวันจากเจ้าของสัตว์ที่พบปัญหาเห็บรบกวนสัตว์เลี้ยง โดยคิดว่าเป็นวิธีที่สะดวกและง่าย เห็นผลเร็วดี นอกจากจะได้ผลดีในการกำจัดเห็บแล้วยังสามารถกำจัดพยาธิภายในและภายนอกชนิดอื่นๆได้อีกด้วย เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิเส้นด้าย พยาธิปากขอ พยาธิแส้ม้า พยาธิในปอด ไรขี้เรื้อน ไรในหู หมัด เหา ฯลฯ แต่การใช้ในการกำจัดพวกพยาธิต่างๆและเห็บ หมัดนั้น จริงๆแล้วในสุนัขและแมวเป็นการใช้นอกเหนือการรับรองครับ กล่าวคือไม่ได้รับการอนุญาตให้ใช้อย่างเป็นทางการจาก FDA (Food and Drug Administration) หรือองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา
    "ไอเวอร์แมกติน" เป็นที่รู้จักและนำมาใช้กับสัตว์ครั้งแรกเพื่อกำจัดพยาธิต่างๆ เมื่อประมาณกลางปี ค.ศ.1980 นี้เอง จัดเป็นยาที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับ macrolide antibiotic สกัดได้มาจากเชื้อราชนิดหนึ่งที่อยู่ในดินชื่อว่า Streptomyces avermitilis จากนั้นมีการอนุญาตให้ใช้และได้รับความนิยมใช้กันมากในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1983 เพื่อใช้ในการกำจัดพยาธิและแมลงในปศุสัตว์ เช่น พยาธิเข็มหมุด (pin worm), พยาธิไส้เดือน(ascarids), พยาธิเส้นขน ( hair worm), พยาธิในปอด (lung worm), เห็บ เหา ไร หนอนแมลงในปศุสัตว์
    สำหรับสุนัขนั้น "ไอเวอร์แมกติน" ได้รับการรับรองอนุญาตให้ใช้โดย FDA เพื่อใช้ในการป้องกันพยาธิหนอนหัวใจ โดยวิธีการกินเดือนละ 1 ครั้ง ในขนาด 6 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก แต่ได้มีการนำมาใช้นอกเหนือจากที่ FDA กำหนด เพื่อการรักษาโรคที่เกี่ยวกับพยาธิในสุนัขและแมวหรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ หลายโรค เช่น รักษาโรคขี้เรื้อนแห้ง โรคขี้เรื้อนเปียก ฆ่าตัวอ่อนระยะติดต่อของพยาธิหนอนหัวใจ ( microfilariacide) โรคไรในหูของสุนัขและแมว หรือแม้แต่ใช้ในการกำจัดเห็บหมัดในสุนัขและแมว แต่เนื่องจากว่าการใช้ยานี้ในการรักษาโรคต่างๆข้างต้นนั้นจะต้องให้ยาในขนาดที่สูง มากๆหลายเท่ากว่าที่ FDA อนุญาตให้ใช้ในสุนัขเพื่อป้องกันพยาธิหนอนหัวใจเพราะฉะนั้นการใช้ควรปรึกษาและได้รับการพิจารณาจากสัตวแพทย์เท่านั้น โดยใช้ได้ตามความจำเป็นและเห็นสมควรของสัตวแพทย์ต่อสัตว์เป็นกรณีๆไป เนื่องจากว่าปริมาณยาที่ใช้ในการรักษานั้นสูงมากๆ ครับ ตั้งแต่ 50-100 เท่าของขนาดที่ให้ใช้ในการป้องกันพยาธิหนอนหัวใจตามที่ FDA ได้กำหนดไว้ ดังนั้นจึงอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงของท่านได้ ถ้าผู้เลี้ยงใช้เองโดยไม่ระมัดระวัง "ไอเวอร์แมกติน" สามารถดูดซึมได้ดีทั้งจากการฉีดเข้าใต้ผิวหนังและทางเดินอาหารโดยการกิน ลักษณะของตัวยาที่ใช้กันในคลินิกเป็นของเหลวใส ค่อนข้างหนืด มีความเข้มข้นของตัวยาอยู่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ เมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนังสัตว์จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน แต่ถ้าให้กินจะมีรสขม เผ็ดร้อน ระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องปากเล็กน้อย เมื่อให้สัตว์กินควรผสมกับอาหารหรือทำให้เจือจางก่อน ยาตัวนี้ออกฤทธิ์ทำให้พยาธิตายได้โดยจะมีผลกับระบบประสาทของพยาธิทำให้เกิดเป็นอัมพาตและตายในที่สุด ไม่ส่งผลต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเนื่องจากว่าระบบประสาทที่ "ไอเวอร์แมกติน" มีผลนั้นมีเฉพาะในระบบประสาทส่วนกลางเท่านั้น ซึ่งเป็นที่ๆ "ไอเวอร์แมกติน" ไม่สามารถซึมผ่านไปได้ หรือซึมผ่านไปได้ยาก ความปลอดภัยจึงมีมาก แต่มีข้อยกเว้นคือ ถ้าสัตว์ได้รับยาในปริมาณที่สูงมาก อาจทำให้เกิดความเป็นพิษกับสัตว์ได้เช่นกัน พบได้บ่อยครั้งในลูกสัตว์หรือตัวที่มีน้ำหนักตัวน้อยซึ่งการให้ยากับสัตว์เหล่านี้มักเสี่ยงต่อการให้ในปริมาณที่เกินขนาดได้ง่าย
  • :028:เพ่โมจ๋า ไหมมานเยอะแบบเนียอะค่ะ 5555
  • สำหรับสุนัขบางสายพันธุ์ การใช้ "ไอเวอร์แมกติน" นอกเหนือจากการป้องกันพยาธิหนอนหัวใจโดยการกินเดือนละหนึ่งครั้งแล้ว การใช้ในกรณีอื่นต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งครับ เนื่องจากว่ามีสุนัขบางสายพันธุ์มีความไวต่อความเป็นพิษของยาตัวนี้อย่างสูง สายพันธุ์เหล่านั้นได้แก่ สุนัขพันธุ์คอลลี่(Collie) พันธุ์เชทแลนด์ ชีพด็อก (Shetland Sheepdog) พันธุ์โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก (Old English Sheepdog) และพันธุ์ออสเตรเลียน ชีพด็อก (Australian Sheepdog) รวมทั้งพันธุ์ผสมของสุนัขสายพันธุ์เหล่านี้ ถ้าจำเป็นต้องใช้ ผู้ใช้ต้องเป็นสัตวแพทย์และอยู่ภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์อย่างใกล้ชิด พิษของยา "ไอเวอร์แมกติน" ต่อสัตว์นั้นส่วนมากมักเกิดจากการที่สัตว์ได้รับยาในปริมาณมากเกินขนาด ซึ่งจะแสดงอาการซึม การยืนและการทรงตัวผิดปรกติ เดินโซเซเหมือนคนเมาเหล้า คอตก น้ำลายไหลยืด รูม่านตาขยายถ้ารุนแรงมากจะมีอาการสั่น ชัก หมดสติ และอาจถึงตายในที่สุด สัตว์ที่แสดงอาการพิษบอกได้เลยครับว่า ต้องทำใจ เนื่องจากไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะหรือไม่มียาแก้พิษโดยตรง การรักษาเป็นเพียงการรักษาตามอาการเพื่อประคับประคองอาการ โดยการให้น้ำเกลือ ยาปฏิชีวนะ ยาบำรุง หรืออาจใช้ยา Picrotoxin หรือ Physostigmine ร่วมด้วย เคยมีรายงานว่าสามารถช่วยลดความเป็นพิษของ "ไอเวอร์แมกติน" ลงได้ แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเช่นกัน เพราะว่ายาทั้งสองตัวนี้มีความปลอดภัยในการใช้ต่ำ สำหรับ"ไอเวอร์แมกติน" สามารถขจัดออกจากร่างกายของสัตว์เองอย่างช้าๆ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป ดังนั้นสัตว์ที่ป่วยจากความเป็นพิษของของยาชนิดนี้ ถ้ามีชีวิตรอดได้เกิน 2 สัปดาห์ขึ้นไป น่าจะมีโอกาสรอดมากขึ้นตามลำดับ ขนาดของ "ไอเวอร์แมกติน" ที่ใช้กันในทางสัตวแพทย์นั้น แตกต่างกันตามแต่วัตถุประสงค์ในการใช้ดังนี้คือ
    - 6 ไมโครกรัม / กิโลกรัม ใช้สำหรับป้องกันพยาธิหนอนหัวใจในสุนัขโดยการกินในรูปแบบของเม็ด เดือนละ 1 ครั้ง ทุกๆเดือนโดยสามารถเริ่มป้องกันได้ตั้งแต่สุนัขมีอายุ 2 เดือน

    - 200 ไมโครกรัม / กิโลกรัม ใช้สำหรับฆ่าพยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อในกระแสเลือด (microfilariacide), ใช้กำจัดพยาธิภายใน (endoparasite) เช่น พยาธิตัวกลม พยาธิปากขอ พยาธิไส้เดือน พยาธิแส้ม้า เป็นต้น

    - 300-600 ไมโครกรัม / กิโลกรัม ใช้สำหรับกำจัดพยาธิภายนอก (miticide) หรือกำจัด เห็บ หมัด เหา ไร ชนิดต่างๆ และ ใช้รักษาโรคไรขี้เรื้อน




    ******วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดวจะอ่านกันไม่ไหว โมยังอ่านไม่หมดเลย แต่เห็นว่าเป็นประโยชน์ดีอ่ะค่ะ เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง
    บทความดีๆทั้งหลายข้างต้นเอามาจากเวปต่างๆ หลากหลายเวปค่ะ รวบรวมมาให้ดู เดวมีต่อ ๆๆวันนี้พอแค่นี้ก่อน^^"

    ค่อยๆอ่านไปนะค่ะ มันมีประโยชน์จิงๆ
  • :028:พี่ง่วงแต่สุดยอดเล๊ยยยยย:028:
  • คือ..แบบว่าตัวเองก็ยังไม่ได้อ่านไปถึงไหนเลย แต่พอเลื่อนๆลงมาดูหัวข้อต่างๆมันเจ๋งดี ควรเซฟเอาไว้ เป็นประโยชน์มากๆ แต่เยอะใช้ได้เลยนะ55+

    ขอบคุณทุกกำลังใจนะค่ะ ก็เพราะมีเพื่อน พี่ น้องดีๆแบบนี้ เลยอยากหาอะไรๆที่มันดีๆตอบแทนกันบ้าง

    เหนื่อยกับการcopyไป-มา นิดหน่อย ไม่เปนไรเลยค่ะยินดี โอกาสหน้ามีภาค2แน่ 555+ ตาแฉะเรื้อรัง แต่รับรองว่าจะพยายามหาอะไรๆที่มีประโยชน์มาให้ค่ะ

    ไม่ต้องอ่านม้วนเดียวจบก็ได้ เซฟเอาไว้ ไว้ฉุกเฉินจิงๆไม่มีที่พึ่งลองเปิดเข้ามาดู เผื่อจะช่วยไม่มากก็น้อยค่ะ

    เดวจะพยายามบอกหัวข้อคร่าวๆไว้บรรทัดแรกนะคะวาวันนี้มีอะไรมาฝากบ้างๆๆ จะได้ง่ายต่อการอ่านและศึกษา
  • :028:กำภาค1ยังไม่จบมาภาค2:017:
  • สุดยอดครับ:063::063:
  • เซฟไว้เรียบร้อยแล้วครับอ่านจนคอนแทคเลนแห้งเลย
  • :030:อ่านจะง่วงเละ เหนื่อยแต่ดีค่ะ ได้ความรุ้เยอะเลย แต่เยอะมาก อ่านไม่ไหว พรุ่งนี้มาอ่านต่อดีก่า

    :028::018:
  • อ่านไปอ่านมาก็ดีนะแต่ใครมันจะไปทำได้วะ
    ขนาดคนยังแดกไม่ได้อย่างนั้นเลย
  • ขอบคุณสำหรับสาระดีๆ ที่มีมาให้เสมอค่ะ
  • เหนื่อย เย้!
    ไฟล์แนบ
    10112008-8485-22284_big.jpg 67K
  • ไปนวดข้างนอกบ้านดีกว่า ไม่เหนต้องอ่านเยอะแบบนี้เลย
  • แล้วโมนวดให้ไอจอร์ชปะ :o010:
  • :m001:
    สุดยอดเลยครับ.คุณ momo
    เซฟไว้ใน word เลยครับ.
    ตอนนี้คงไม่มีเวลาอ่านหรอก ไว้ว่างๆ ค่อยอ่านครับ
    ขอบคุณ สำหรับ สิ่งดีๆ ที่ให้กับชาวพิทบูลครับ
    :006::006::006:
    :006::006::006:
    :006::006::006:
  • ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ แหม..มีกะลังใจดีๆแบบนี้ ชื่นใจจัง เอิ๊กกกก....
    :012::012:โป้งพี่ผี มีเหน็บนะ ก็เอามาให้อ่านแบบว่าเผื่อจะได้ประโยชน์บ้างไรงี้ พูดแบบนี้.. เสียใจได้ยินไม๊ 55+
    เอาน่า อย่าด่าๆๆอยากแบบว่าสาระบ้างอะไรบ้าง...ไว้มีไรอัพเดตดีๆจะเอามาแชร์นะจ๊า..:039::039::039:

    **ด้วยรักและเคารพ**
  • มีประโยชน์ดี
    ขอบคุณมากๆครับ