ยินดีต้อนรับครับ

ขอแนะนำให้ทุกท่าน สมัครสมาชิก เพื่อป้องกันการแอบอ้างชื่อครับ

Mark Mafia

ประวัติพิตบูล
  • ผมอยากได้ประวัติ ลักษณะนิสัย ขอพิทบูล ครับว่างๆๆ พี่ๆกรุณาแนะนำผมด้วนนะครับ ขอบคุณครับ
  • ประวัติ ของสายพันธ์ American Pit Bull
    มาตราฐานความเป็นมาของสายพันธ์อเมริกัน พิทบลู เทอรเรีย บรรพบุรุษของสุนัขอเมริกันพิทบลู นั้น สืบทอดเชื้อสายมาจาก IRISH และ ENGLISH PIT FIGHTING DOG ซึ่งถูกนำเข้า USA ตอนกลางศตวรรษที่ 19 ในอเมริกาสุนัขพันธ์นี้ นอกจากใช้สำหรับสู้กันแล้ว มันยังถูกนำมาใช้ในงานด้านอื่นๆ ด้วย เช่น ใช้สำหรับต้อนฝูงหมูป่า และวัวควาย ใช้เป็นสุนัขยาม สุนัขนี้ในยุคแรก ๆ จะมีขนาดเล็ก ประมาณ 15-25 ปอนด์ จนกระทั่งในประมาณกลางศตวรรษที่ 19 ในอเมริกาสามารถผสมพันธ์ได้ขนาดที่มากกว่า 50 ปอนด์ แต่ยังเป็นส่วนน้อย จากปี 1990 ถึง 1975 หรือต่อจากนั้น ขนาดของสุนัขจะใหญ่มากขึ้น โดยที่ความสามารถอื่น ๆ ไม่ได้ลดลง แต่ก็ยังมีเป็นจำนวนน้อยมาก สุนัขในปัจจุบันส่วนใหญ่ ไม่ได้มุ่งพัฒนาที่ประสิทธิภาพเหมือนในยุคแรก ๆ ซึ่งในยุคแรกๆ สุนัขในยุคแรกจะวัดคุณค่าได้เพียงอย่างเดียว จากการทดสอบเท่านั้น ปัจจุบันนี้มักจะมีคำกล่าวเป็นสัจจธรรมว่าใหญ่กว่าก็ย่อมดีกว่า ในอเมริกา เข้ามาแทนที่ การวัดผลสุนัขในวิธีดั้งเดิมและผู้เพาะพันธ์สุนัขส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย มาตราฐานในปัจจุบันจึงมีขนาดสูงกว่าเดิมประมาณ 3 นิ้ว และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 เท่าตัว ดู ตลอดศตวรรษที่ 19 นี้ผู้คนยังเรียกชื่อสุนัขพิทบลู แตกต่างกันออกไปเช่น 1 PIT TERRIERS 2 PIT BULL TERRIERS 3 HALF AND HALF 4 STAFFORD SHIRE FIGHTING DOG 5 OLD FAMILY DOGS (ไอริส) 6 YANKEE TERRIERS (NORTHERN NAME) 7 REBEL TERRIERS (SOUTHERN NAME) UKC ได้ก่อตั้งในปี 1898โดย MR. CHAUNCY BENNET โดยวัตถุประสงค์เพื่อรับจดทะเบียนสุนัขอเมริกันพิทบลู เพียงอย่างเดียว และหลังจากนั้น ก็เริ่มรับจดทะเบียนสุนัขพันธ์อื่น ๆ
    ไฟล์แนบ
    honeybunch.jpg 4K
  • มาตรฐานสายพันธ์ โดยทั่วๆไป (UKC)
    1.ขนาด และความสูง อเมริกัน พิท บลู เทอร์เรีย ควรจะมีความสูง ประมาณ 17-18 นิ้ว สำหรับเพศเมีย และ 18-19 นิ้ว สำหรับเพศผู้ แต่มีบางตัวที่มีขนาดแตกต่าง ไปจากนี้ บางตัว อาจสูงถึง 21 นิ้ว แต่ ไม่เหมาะที่จะนำไปประกวด
    2.น้ำหนัก ในอตีดนิยมเลี้ยง พิทบลู ที่มีขนาดอยู่ระหว่าง 35 -60 ปอนด์ สำหรับเพศเมีย และ 40- 70 ปอนด์ สำหรับเพศผู้ มีส่วนน้อยมากที่มีขนาดเกิน 80 ปอนด์ ก็ไม่ผิดมาตรฐาน หากดูแล้วได้สัดส่วน มองดู สง่างาม บึกบึน
    3.ส่วนหัว สุนัข พิทบลู จะมีศีรษะ มองดูแล้วคล้าย ลิ่ม ตอนบนของ ศีรษะ ด้านระหว่าง ตาขึ้นไป จะเป็นรูปสี่เหลี่ยม แล้วมนแหลมลงมาที่ปลายจมูก จมูกควรจะมีขนาดปานกลาง มีรอยเว้าของดั้งพอประมาณ
    4.หน้าอก พิทบลู เป็นสุนัขที่แข็งแรงเกินตัว หน้าอกจึงมีความสำคัญพอสมควร สายประกวดจะต้องมีขนาดลึกและกว้าง มองดูแล้วสวยงาม น่าเกรงขาม แต่มีบางตัวที่อกเล็ก แต่ความแข็งแกร่ง ไม่ได้เป็นรองใครเลย แต่ไม่เหมาะสำหรับสนามประกวดเท่านั้น
    5.ลำคอ ลำคอควรจะมีขนาดใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ
    6.ขา ระยะห่างของขาหน้า จะกว้างมาก จะต้องตรงไม่งอ ขาของพิทบลู โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ขาหลังจะเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ
    7.หาง หาง พิทบลู ดูแล้วค่อนข้างที่จะสั้น ไม่นิยมตัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสนามประกวด จะไม่อนุญาติให้สุนัขที่ตัดหางเข้าประกวด
    8.หู หูจะตัดหรือไม่ก็ได้ ไม่มีผลต่อคะแนน ในสนามประกวด
    ไฟล์แนบ
    a272870.jpg 76K
  • ตารางการให้คะแนน ของ A D B A
    1.รูปร่าง ลักษณะภายนอกโดยทั่วไป ส่วนสูง น้ำหนัก และสุขภาพ 20 คะแนน
    2.ท่าทาง การเดิน ความตื่นตัว การเตรียมพร้อม การเคลื่อนไหว 10 คะแนน
    3.ลักษณะโดยรวมของส่วนหัว ขนาด และรูปทรงของหัว และลำคอ ฟัน ตา 15 คะแนน
    4.ส่วนหน้าโดยรวมของสุนัข ไหล่ อก ขาหน้า และลำตัว 20 คะแนน
    5.ส่วนหลังโดยรวม บั้นท้าย สะโพก ข้อต่อของขา ข้อเท้า ขาหลัง 30 คะแนน
    และอุ้งเท้า ตำแหน่งของหาง
    6.ขนาดของหาง และสุขภาพของขน 5 คะแนน
    7.คะแนนรวม 100 คะแนน
    หมายเหตุ ในการประกวดโดยทั่วๆ ไป ตัวที่เคยชนะมาแล้ว อาจจะแพ้ตัวที่ เคยชนะมาแล้วก็ได้ ถ้าความสวยงามพอๆ กัน กรรมการอาจจะดูที่คะแนน การเลี้ยงดู สุขภาพโดย ทั่วๆ ไป ประกอบด้วย เช่น สุนัขตัวที่ชนะมาบ่อยๆ อาจจะแพ้ก็ได้ ถ้าประมาท เพราะฉนั้น ก่อนที่จะโวยกรรมการ ลองตรวจดูความพร้อมของสุนัขเราก่อน การแพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา
    ไฟล์แนบ
    a1625632.jpg 36K
  • เรื่องเล่าขานตำนาน พิทบูล

    สิบเอก Stubby (1917-1906)
    เรื่องราวของสิบเอก Stubby เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่1 (w.w.1.) หรืออยู่ในช่วงราวๆ พ.ศ.2469 ซึ่งกาลเวลาผ่านพ้นมาไม่น้อยกว่า 75ปี แต่ถึงกระนั้นผู้คนมากมายก็ยังพูดถึงเรื่องราวของสิบเอก Stubby อยู่เสมอนั้นเป็นเพราะเหตุใดกัน ? ตามประวัติของพิทบูลตัวนี้ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากที่ใด แต่มันถูกพบโดย พลทหาร จอหน์ โรเบริต์ คอนลอยภายในบริเวณลานของ มหาวิทยาลัย เยลล์(Yale University) ในปี1917 ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีการฝึกนักศึกษาในแนวหน้าของยุโรป ช่วงสงคราม โลกครั้งที่1 เจ้า Stubby เป็นหมาสีน้ำตาล และมีสีขาวแซมเป็นหย่อมๆ เมื่อแรกที่เขาพบเจ้าStubby มันเป็นเพียงแค่ลูกหมาเล็กๆ หางด้วน ดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่า Stubby (สทับบี้) ซึ่งแปลว่า "ไอ้ด้วน"ตามรูปร่างของมันนั่นเอง ในช่วงที่มีการตั้งแค้มป์ของนักศึกษา จะเป็นที่รู้กันดีว่าเสียงแตรเดี่ยว คือ สัญญาณที่ทหาร และนักศึกษาจำต้องปฏิบัติตาม ทุกครั้งที่มีสัญญาณเป่าแตร และทุกครั้งเมื่อมีเสียงสัญญาณเจ้า Stubby จะนั่งยองๆ ยกขาขวาแตะที่ขอบตาขวา เพื่อเป็นการแสดงความเคารพทุกครั้ง และด้วยกริยาท่าทางของมันนี้เอง ที่แสดงออกมาทำให้ทุกคนที่พบเห็นอดที่จะชื่นชม และเอ็นดูมันไม่ได้ มันจึงเป็นที่รักของคนทั่วไปที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากผู้บังคับ บัญชาเดินผ่านมาเจ้า Stubby มันจะหยุดทำความเคารพท่านทันที ส่วนตัวท่านผู้บังคับบัญชาเองท่านก็ไม่ว่ากล่าวอะไรเกี่ยวกับตัวเจ้าStubby ถึงแม้นว่าการมีสัตว์เลี้ยงจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้รับการอนุญาติ ให้มาเกี่ยวข้องปะปนกับการฝึกทหารก็ตาม ต่อมาเมื่อการฝึกของนักศึกษาได้ผ่านไปจนจบหลักสูตรการฝึก นาย คอนลอย เองก็รู้ดีถึงกฎการห้ามมีสัตว์-เลี้ยง แต่เขาเองก็ไม่สนใจกับกฎเกณฑ์ดังกล่าวนั้นเลย เขาเตรียมตัวเก็บของ และซ่อนเจ้า Stubby เพื่อนรักมาใน รถบรรทุกซึ่งใช้บรรทุกนักศึกษาเพื่อมาส่งยังศูนย์กลางรถไฟเจ้า Stubby ถูกนำลงเรือเพื่อเดินทางต่อไปยังเวอร์จีเนีย ตัวเจ้า Stubby มันถูกซ่อนมาในถังขยะของเรือขนถ่าน การเดินทางในช่วงนี้ใช้เวลาถึง 12 ช.ม และในส่วนตัวของเจ้าStubby มันเป็นที่รู้จักของทหาร และกะลาสีเรือทุกคน ในช่วงที่อยู่บนเรือมีกะลาสีคนหนึ่งทำป้ายบอกชื่อให้เจ้า Stubby เช่นเดียวกับทหารทุกนายที่จำเป็นต้องมีป้ายบอกชื่อ และชื่อสกุล ในที่สุดการเดินทางอันยาวนานก็สิ้นสุดลง เจ้า Stubby ก็พบว่าตัวของมันเองนั้นอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า ปัญหาแรกของนาย คอนรอย คือ ต้องสร้างรังเพื่อใส่เจ้า Stubby ซึ่งเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ปกติเวลาเดินทางเขาจะอุ้มเจ้า Stubby ไว้ในวงแขนของเขา และคลุมปิดไว้ด้วยเสื้อ Coat ของทหาร ในไม่นานเรื่องของ Stubby ก็ได้ทราบถึงบังคับบัญชาคนใหม่ ไม่ว่าเรื่องราวการเดินทางอันยาวนานของเจ้าStubby ตลอดจนประวัติส่วนตัวของ Stubby ได้ถูกเปิดเผยให้ทราบ และท่านบังคับบัญชาก็อณุญาติให้เจ้า Stubby พักอาศัยอยู่ร่วมกับทหารได้โดยยึดหลักศีลธรรม อีกหลายอาทิตย์ต่อมามีคำสั่งให้กองพลทหารราบที่ 102d ของพลทหาร คอนลอย เป็นกองพลน้อยของกองพลที่ 26 ของแยงกี้ให้เคลื่อนกำลังพล ไปยังแนวหน้าของฝรั่งเศส และเช่นกันเจ้า Stubby ก็ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาของ คอนลอย ให้มันเดินทางไปด้วย และเพื่อเป็นมิ่งขวัญกำลังใจของกองพลน้อยที่102 ต่อมาเมื่อกองพลเดินทางมาถึงแนวหน้า ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1918 ณ ที่แห่งนี้มีแต่ความหนาวเหน็บ และอันตรายรอบด้าน ทหารทุกๆนายจะต้องดำรงชีวิตอยู่ภายในสนามเพาะซึ่งจะขุดเป็นคูอยู่ภายในดิน ภายในคูนั้นจะเต็มไปด้วยน้ำ และโคลน จึงมักก่อความไม่สะดวกให้กับทหาร และเจ้า Stubby ในสมรภูมินั้นเต็มไปด้วยห่ากระสุน และประกายเพลิงจากปากกระบอกปืนทั้งของฝ่ายสัมพันธ์มิตร และฝ่ายทหารเยอรมันคลอบคลุมทั่วบริเวณ และทั่วบริเวณนั้นเต็มไปด้วยทหารที่บาดเจ็บล้มตายกลาดเกลื่อนไปทั่วทุกหนแห่ง แต่เจ้า Stubby มันถูกฝึกให้ชินกับเสียงปืนยาว และปืนใหญ่รอบนอก จนวันหนึ่งทหารเยอรมันได้นำเอาแก๊สพิษมาใช้ในสนามรบ แก๊สพิษนี้มีส่วนผสมทางเคมีซึ่งสามารถทำลายเซลล์ของผิวหนัง และมีผลต่อระบบการหายใจตลอดจนถึงการมองเห็นทำให้ตาบอดได้ ตัวเจ้า Stubby มันก็ได้รับผลจากแก๊สนี้ด้วยเช่นกันมันถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสนามโดยด่วน หลังจากนั้นหมอได้ให้การรักษา Stubby จนสุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิมจากบทเรียนทีได้รับในครั้งนี้ทำให้ Stubby รอบคอบมากขึ้น และระมัดระวังมากขึ้นในเรื่องหมอก หรือควัน เช้าวันหนึ่งในหลายอาทิตย์ต่อมา ก่อนที่ทหารเยอรมันจะเริ่มลงมือใช้แก๊สพิษนี้อีกครั้ง ในขณะนั้นทหารในกลุ่มของเจ้าStubby กำลังนอนหลับ และไม่ได้ระวังตัวจากแก๊สพิษช่วงนั้นเองเจ้า Stubby มีความรู้สึกถึงความผิดปกติที่กำลังจะเกิดขึ้น ทันใดนั้นเองมันจึงรีบลุกขึ้นวิ่งไปตามแนวสามเพาะ และมันเริ่มเห่าพร้อมทั้งกระตุกคอเสื้อ และขาของทหารโดยการงับ เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนพร้อมทั้งปลุกให้ทหารทุกคนตื่นขึ้น และรู้สึกตัวว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ทหารบางคนตื่นขึ้น และรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต่อเมื่อมีเสียงเตือนว่ามีแก๊สพิษ ทหารหลายๆคนถูกช่วยชีวิตในเช้าวันนั้น แต่เจ้า Stubby มันกลับผละไปจากสนามเพาะ และรอคอยอยู่ภายนอกจนมันเองรู้สึกว่าอากาศภายในสนามเพาะเริ่มปลอดโปร่ง แล้วมันจึงกลับลงไปในสนามเพาะอีกครั้ง หลังจาก Stubby กลับลงมาในสนามเพาะ มันก็พบทหารบาดเจ็บหลายนาย และในบริเวณที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆเลยซึ่งเรียกกันว่า "No-mans land" คือ ที่ๆอยู่ระหว่างทหารฝ่ายสัมพันธ์มิตร และทหารเยอรมันเพราะหากโผล่ออกมาจากสนามเพาะจะถูกฆ่าทันที และหากเมื่อใดเจ้า Stubby มันได้ยินเสียงทหาร หรือผู้ได้รับบาดเจ็บเรียกมันเป็นภาษาอังกฤษมันจะตะกายขึ้นจากสนามเพาะ แล้วรีบนำคนเจ็บลงมายังสนามเพาะ การกระทำของมันเป็นที่ประจักษ์แก่ทหารหลายๆนายมาแล้ว และทหารส่วนใหญ่ให้ความเชื่อมันในตัว Stubby พร้อมทั้งยกย่องให้มันเป็นมิ่งขวัญของทหาร และกองพล
  • วันหนึ่ง. ในขณะที่ทหารลาดตระเวนกำลังออกไปสำรวจรอบๆ "No-mans land" เจ้า Stubby มันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังออกมาจากพุ่มไม้ ทันใดนั้นเจ้า Stubby มันก็ตรงเข้าไปในพุ่มไม้นั้นทันที และมันก็พบกับทหารฝ่ายเยอรมันที่กำลังทำพิกัด ของทหารฝ่ายสัมพันธ์มิตรในบริเวณสนามเพาะ ในขณะนั้นทันทีที่ทหารเยอรมันพยายามเรียกเจ้า Stubby แต่ไร้ผลกลับกัน Stubby เริ่มเห่าทันที เมื่อทหารเยอรมันพยามวิ่งหนีเจ้า Stubby ก็ตามไปกัดเข้าที่ขาของทหารเยอรมัน และมันคุมตัวทหารเยอรมันไว้ได้ เมื่อทหารฝ่ายสัมพันธ์มิตรได้ยินเสียงผิดปกติ และเมื่อพวกเขาเห็นเจ้าStubby จับตัวทหารเยอรมันไว้ได้ทหารทุกๆนายต่างดีใจ แน่นอนเจ้า Stubby มันได้พิสูจน์ตัวมันเองแล้วว่ามันสมเป็นทหารอย่างแท้จริงเมื่อผู้บังคับบัญชาของกองพล 102 ได้เห็นถึงความกล้าหาญของ Stubby จึงเสนอให้ Stubby ได้เป็นทหารชั้นประทวนซึ่งเลื่อนยศจากพลทหาร Stubby เป็นสุนัขพิทบูลตัวแรก และได้เป็นนายทหารสุนัขของกองทัพบก อีกครั้งที่ทหารเยอรมันได้ใจ เห็นว่าไม่มีอะไรโต้ตอบมาจาก "No-mans land" จึงได้ระดมยิง และขว้างระเบิดเข้าใส่เจ้า Stubby และคอนรอยผู้เป็นนายโงหัวขึ้นจากสนามเพาะไม่ได้เลย ตัวคอนรอยนั้นหันปากกระบอกปืนระดมยิงใส่ข้าศึกอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนเจ้า Stubby มันกำลังพยายามหาทางออกจากสนามเพาะเพื่อดูเหตุการณ์ ทางด้านหนึ่งซึ่งปลอดจากทหารเยอรมัน แต่ทันใดนั้นทหารเยอรมันคนหนึ่ง ได้ขว้างระเบิดชนิดแตกกระจายกลางอากาศเข้ามา เจ้า Stubby โดนสะเก็ดระเบิดเข้าที่หน้าอก และขาขวาหลังจากนั้นเจ้า Stubby มันนอนนิ่งไม่ไหวติง ทหารบางคนคิดว่า Stubby ตายแล้วต่อมาเมื่อมันลุกขึ้นเดินโขยกเขยก ทุกคนจึงโล่งอกเมื่อรู้ว่ามันยังไม่ตายจากนั้นคอนรอยตรวจดูการเต้นของหัวใจ, ลมหายใจใช่แล้วเจ้า Stubby ยังไม่ตาย ดังนั้นมันจึงถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลสนาม และนำตัวส่งไปยังกาชาด เพื่อทำศัลยกรรมอีกครั้งหนึ่ง. เจ้า Stubby เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย มันได้ไปเยี่ยมคนเจ็บที่สถานกาชาด และปรากฏตัวตามงานสังคมต่าง ๆ และมันก็ถูกส่งกลับมายังหน่วย 102 อีกครั้ง สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้สิ้นสุดลงในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 สิบเอก Stubby ได้ช่วยเหลือกองพลจากกการปะทะกันทั้งหมด 17 ครั้งขณะที่เขาอยู่ในยุโรป สิบเอก Stubby และท่านประธานาธิบดี วู๊ดโรล วิลสัน ได้ตรวจเยี่ยมกองกำลังพลของทหารอเมริกันในยุโรป เมื่อไรที่สิบเอก Stubby พบท่านประธานาธิบดีมันจะแสดงความเคารพทันที โดยยกเท้าขวาขึ้นแตะขอบตาขวา ส่วนท่านประธานาธิบดี วู๊ดโรล วิลสัน ท่านก็รักและเอ็นดูสิบเอก Stubby มากเช่นกัน สิบเอก Stubby กลับมาถึงอเมริกาในเดือนเมษายนปี ค.ศ. 1919 เจ้า Stubby มันได้เหรียญเชิดชูเกียตรมากมาย เหรียญของมันอันหนึ่งได้จาก Humane Education Society โดยได้รับมอบจาก นายพล John J. Pershiog หัวหน้าทหารอเมริกัน เจ้า Stubby มันได้ไปเยี่ยมทำเนียบขาวถึงสองครั้ง มันได้เข้าพบท่านประธานาธิบดีถึงสองท่านคือท่าน Harding และ ท่าน Coolidge เจ้า Stubby มันได้รับเกียติรเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสมาคม YMCA. และภายในการ์ดของสมาชิกของ Stubby ระบุไว้ว่า เจ้า Stubby ได้รับกระดูกวันละ 3 ชิ้น และที่นอนอันอบอุ่นเจ้า Stubby เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปอย่ากว้างขวาง
    บั้นปลายชีวิตของสิบเอก Stubby ตายเมื่อ วันที่ 16 มีนาคม 1926 เจ้า Stubby มันมีชีวิตอยู่กับเจ้านายของมัน นาย จอห์น โรเบริด คอนลอย คือคนผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้ช่วยชีวิตลูกสุนัขห้างด้วนตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน
    หลับให้สบายเถอะน๊ะ ขอให้มีความสุขขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ความห้าวหาญ, ความภักดีที่เจ้าได้มอบไว้ให้นะเจ้า Stubby.
    หมายเหตุ: หลังจากมีชัยชนะจากสงครามโลกครั้งที่1. นาย จอห์น โรเบริต์ คอนลอย กลับมาอเมริกา และเขาเข้าเรียนในคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Georgetown ส่วน Stubby รูปของมันได้ถูกนำมาเป็นตัวนำโชคของ ทีมฟุตบอล Georgetown และแฟนๆของทีมHoyasทุกคนชื่นชม และขอบคุณที่มันนำโชคให้แก่ทีมทำให้มีไชยชนะในการแข่งขันเสมอๆ จนทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าหมา "Bulldog" มักจะนำโชคมาให้ และในระหว่างการแข่งขัน Stubby จะลงไปเล่นในสนาม และมันจะวิ่งไปทักทายคนสำคัญ (V.I.P) ที่เข้าชมเสมอๆ ปัจจุบัน Stubby ก็ยังเป็นสัญลักษณ์และตัวนำโชคของ Georgetown's foot ball team มาจนปัจจุบัน
  • Pit Bull ที่ขึ้นทะเบียนกับ UKC จะแตกต่างจาก Pit Bull ที่ขึ้นทะเบียน กับ ADBA (American Dog Breeder Association) เนืองจากวัตถุ ประสงค์ต่างกัน สังเกตุง่าย ๆ ADBA จะเน้นถึง พละกำลังและการใช้งาน ดังจะเห็นได้ว่า ADBA จะให้คะแนน ส่วนท้าย หรือสะโพก เป็นคะแนนค้อนข้างสูง เนื่องจาการส่งกำลัง 80 % มาจากส่วนท้าย ส่วน UKC จะคล้ายๆ กับ AKC (American Kennel Club) และ ของ Am Staff คือ จะให้คะแนนส่วนหัวค่อนข้างสูง.
    APBT ไม่สามารถขึ้นทะเบียน เป็น Am Staff ได้ แต่ Am Staff สามารถ ขึ้นทะเบียนเป็น Pit Bull ได้แต่ไม่ได้หมายความว่า Am Staff จะดีกว่า Pit Bull ที่เป็นเช่นนี้เพราะ Am Staff แตกแขนงมาจาก Pit Bull ดังนั้นจึงพออ้างเป็น Pit Bull ได้ และมาตรฐาน ของ Pit Bull ก็เปิดกว้างสำหรับรูปลักษณ์ ภายนอก ส่วน Am Staff เน้นโครงสร้างภายนอกเพื่อความสวยงาม จึงกำหนดมาตรฐานเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และมีข้อกำหนดค่อนข้างแคบ เช่นจมูกต้องสีดำ ตาสีเข้ม และห้ามมีสีขาวเกิน 80% คนที่เลี้ยง Pit Bull จริงๆ ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ ที่จะมาขึ้นทะเบียนเป็น Am Staff แต่ส่วนมากมักจะเห็น Am Staff มาขึ้นทะเบียนเป็น Pit Bull เนื่องด้วยเหตุผลต่างๆ เช่นชื่อ Pit Bull ยังขายได้หรือสามารถขายได้เป็น 2 พันธ์
    มีบางคนถามว่า ตกลงแล้วมันเป็นพันธ์เดียวกัน หรือไม่ คำถามนี้ตอบยากและยาว แต่ผมจะอธิบายคร่าวๆ และขอให้ท่านตอบ เอาเองว่าใช่ หรือไม่ เดิม AKC ซึ่งเป็นสมาคมเกี่ยวกับสุนัขที่ใหญ่ ที่สุดใน USA รับขึ้นทะเบียน Pit Bull และได้เปลี่ยนชื่อ จาก Pit Bull เป็น Staffordshire Terrier ในปี 1935 และ ในปี 1972 (บางแหล่ง 1973) ได้เติมชื่อ Aemrican นำหน้า เพราะชื่อ Staffordshire ไปตรงกับของ อังกฤษ ซึ่งมีมานานแล้ว นี่คือที่มาของชื่อ Am Staff และหลังจากนั้น AKC ก็หยุดไม่รับขึ้นทะเบียน ให้ Pit Bull แต่ UKC ยังยอมให้ Am Staff มาขึ้นทะเบียนได้ เพราะ Am Staff มาจาก Pit Bull แต่ Pit Bull ไม่ได้มาจาก Am Staff ก็คิดดูกันเอาเองว่า จากปี 1935-2000 เป็นเวลา 60 กว่าปี คุณคิดว่ามันยังเป็นพันธ์เดียวกัน หรือเปล่า แต่ถ้าเรามาดูอีกที มี Breeders บางท่านได้ขึ้นทะเบียนไว้กับมากกว่า 1 สถาบัน คือ กับ AKC เป็น Am Staff และ ขึ้นกับ ADBA และ UKC เป็น Pit Bull คราวนี้เอาละซิ มันเป็นพันธ์ เดียวกันหรือเปล่า คุณตัดสินใจ เอาเองก็แล้วกัน
    ไฟล์แนบ
    00017_12.gif 51K
  • Pit Bull สายใหนเหมาะกับคุณ
    ขณะนี้ดูเหมือน Pit Bull กำลังกลับมาได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสายโชว์ หรือสายกัด ผมเองก็สนใจ มานานกว่า 10 ปี จึงอยากให้คนเลี้ยง Pit Bull รักและสามัคคีกัน ส่งเสริม ให้เกียรติ์ เข้าใจกันและกัน ไม่ใช่ว่าใครไม่เห็นด้วยกับแนว ความคิดและวัตถุ ประสงค์ของเรา เกียวกับ Pit Bull จะผิดไปหมดใช้ไม่ได้ Pit Bull เป็นสุนัขขนาดกลาง ในกลุ่ม Terrier น้ำหนัก 30-65 ปอนด์ สูง 18-19 นิ้ว ประวัติ โดยทั่วไปในอดีต เลี้ยงไว้สำหรับเกมส์ กัดสุนัข บางแห่งก็เลี้ยงไว้ตาม ฟาร์ม แต่ในยุคแรกๆ ไม่ได้เลี้ยงไว้โชว์ แน่นอน สังเกตุได้ในยุคแรกๆ ตัว Pit Bull เอง จะหาเหมือนกันได้ยากมาก ไม่เหมือนพันธ์อื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ การคัดพันธ์จะอาศัย โครงสร้างและ ลักษณะภายนอกเป็นหลัก ดังนั้นจึงทำให้ดูเหมือนกันไปหมด ทั้งมาร์คกิ้ง รูปร่างหน้าตา แต่ Pit Bull จะอาศัยการคัดพันธ์จากลักษณะ การใช้งาน เช่นการกัด และการทำงานในลักษณะเฉพาะ ประจำพันธ์ ที่เน้นความสามารถเฉพาะตัว เพราะฉนั้นจึงหา Pit Bull ที่เหมือนกัน ค่อนข้างยาก แล้วเหตุใด คนยังนิยมเลี้ยง Pit Bull ทั้งๆ ที่ความสวยงามในยุคแรกๆ คาดหวังยาก โดยเฉพาะสายกัดมีผู้เลี้ยงหลายท่าน บอกว่าถ้าจะเลี้ยงสุนัขสวยงามให้ไปเลี้ยงพันธ์อื่น ซึ่งผมไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะปัจจุบัน Pit Bull ก็มีความสวยงาม และ มีเสนห์ อยู่ในตัวเอง และมีมากด้วย ก่อนอื่น ผมขอบอกก่อนว่าผมไม่ได้เลี้ยง Pit Bull ไว้กัด หรือ ประกวด ผมเลี้ยงเพราะว่าผมรักมัน ผมจึงอยากจะแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ Pit Bull อย่างเป็นกลาง ตามความคิดเห็นของผม ซึ่งคุณอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่ที่เขียนมานี้ก็เพื่อให้ คนเลี้ยง Pit Bull รักและสามัคคีกัน Pit Bull สายโชว์หรือกัด จริงๆแล้ว มันก็คือ Pit Bull เหมือนกัน ไม่อยากจะบอกว่าสายใหนมันดีกว่ากัน ต่างคนต่างรสนิยม อยากยกตัวอย่างง่ายๆ เขาทราย ก็คือคนไทย แซมยุรนันท์ ก็คือคนไทย ถามว่า 2 คนนี้ ใครเก่งกว่ากัน ถ้าชกกัน เขาทรายก็กินขาด แต่ถ้าเดินแบบเล่นหนัง เขาทรายก็ไม่มีทางสู้ได้ แต่ที่สำคัญ 2 คนนี้ชกมวยไทย เป็นแน่ๆ Pit Bull ก็เหมือนกัน คุณคงไม่เอาตัวที่ ขี้เหล่ ไปประกวดแน่นอน แต่ที่แน่ๆ Pit Bull มันกัดเก่งกว่าสุนัข พันธ์อื่นๆ แน่นอน ถ้าทั้งสองฝ่ายยอมรับความจริงในข้อนี้ การทับถมอีกฝ่ายก็คงจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าร่วมใจกันพัฒนา เราอาจจะได้ Pit Bull ที่ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง เหมือนกับ สามารถ พยัคอรุณ ที่ทั้งหล่อชกมวยเก่ง ร้องเพลงก็ได้ ทำไม Pit Bull จะเป็นเช่นนี้ไม่ได้ ถ้าใครชอบจุดใหน ก็ไป พิสูจน์กันในสังเวียนนั้น ไม่ใช่สังเวียนปาก ถ้าถามผมว่าอยากได็แบบใหน ผมคงตอบว่าอยากได้แบบ ทั้งหล่อ และทั้งเก่ง แต่ถ้าให้ผมนำ สุนัขของผม ไปพิสูจน์ ผมก็คงจะไม่เอา ทั้ง 2 สังเวียน นั่นแหละ เพราะผม ภูมิใจในความที่มันเป็น Pit Bull ก็พอแล้วครับ
    ไฟล์แนบ
    00017_21.jpg 19K
  • โครงสร้างและหน้าที่ของพิตบูล
    ถ้าคุณหยิบตำราหมาพันธุ์ต่างๆ มาอ่านสักเล่ม..คุณจะเห็นเขาบรรยายถึงประวัติความเป็นมาของหมาพันธุ์นั้นๆ หลายๆ พันธุ์มีประวัติวีรกรรมของบรรพบุรุษยิ่งใหญ่มาก เช่น ไอริซ วู๊ฟฮาวน์ ล่าหมาป่า เกรทเดนล่าหมูป่า..ร็อตไวเลอร์ ใช้ในกองทัพโรมันว่ากันว่ามันงับข้อขาม้าแตกหักได้อย่างง่ายดาย!...ประวัติทั้งหลายมันก็คือหน้าที่ประจำพันธุ์ของมัน..ฉะนั้นโครงสร้างมาตรฐานของแต่ละพันธุ์ก็ถูกคนเรามากำหนดว่าต้องเป็นอย่างไรจึงจะทำหน้าที่นั้นๆ ได้ดี.บรรดาสมาคมหมาๆ อย่าง AKC, UKC, FCIฯ ต่างก็ตอบสนองนักเพาะพันธุ์หมา..ร่วมกันร่างมาตรฐานของแต่ละพันธุ์และให้เหตุผล..เถียงกันหน้าดำหน้าแดง...หัวต้องแบบนี้ หูต้องอย่างนี้ เส้นหลังต้องตรงเท่านั้น!..ฯลฯ.ทุกอย่างถูกกำหนดขึ้นในห้องประชุม.พอมาตรฐานโครงสร้างของหมาถูกร่างออกมา ลงนามยอมรับกันแล้วนำออกเผยแพร่..เป็นที่น่าสังเกตว่ามาตรฐานหมาเกือบทั้งหมดมีความคิดไปแนวเดียวกัน คือ ความสวยงาม..สวยตามความนึกคิดของคน..ก็ไม่รู้ว่าหมามันมองพวกเดียวกันอย่างไร!?. ดูง่าย ๆ หมาหลายพันธุ์กำหนดไว้ว่าเส้นหลังต้องตรง ลาดต่ำลงจากวิทเทอร์สู่บั้นท้าย..เหตุผลว่าต้องตรงจึงจะแข็งแรง..ถูกต้องเลย.. ยิ่งตรงยิ่งแข็ง!..แต่มันแข็งทื่อ!..ไม่มีความยืดหยุ่น!.. คนที่เลี้ยงหมาไว้ใช้ประโยชน์จริง ๆ เขาคัดพันธุ์กันที่ความสามารถหมาล่าหมูป่าถ้ามันไม่มีความสามารถ มันคงโดนหมูขวิดตายไปแล้ว!..ไอ้พวกที่รอดมาจึงมีโอกาสได้ผสมพันธุ์แพร่ลูกหลาน... หมาพิตบูลที่ใช้ในเกมต่อสู้ก็เช่นกัน..หมาตัวที่ใจเสาะ อ่อนแอ..ไร้ความสามารถ..คงไม่มีด็อกแมนคนไหนอยากเก็บไว้..ว่าไปแล้วพวกด็อกแมนก็ไม่ได้รู้เรื่องพันธุกรรมลึกซึ้งแต่อย่างใด..แต่เขาเข้าใจในตัวหมาที่ความเก่งของมัน เลือกตัวเก่ง ๆ ผสมกัน..มันเหมือนธรรมชาติช่วยคัดสรร..หมาป่าก็เช่นกันหมาจ่าฝูงกัดเก่งจึงมีโอกาสได้ทับตัวเมีย..แน่นอนมันจะกัดเก่งได้จำต้องมีร่างกายที่แข็งแรงกว่า..หมาจะแข็งแรงได้มันต้องมีโครงสร้างที่ถูกต้องตามธรรมชาติของพันธุ์..หาใช่มนุษย์ไปกำหนดไม่!..
    มาดูใกล้ตัวเราหน่อย..หลังจากองค์กรต่างๆ ต่อต้านการแข่งขัน เกมพิต..หาว่าโหดร้าย ทารุณ!..แต่เพื่อคงอยู่ของเผ่าพันธุ์..เขาหลีกเลี่ยงมาจดทะเบียนเป็นอเมริกัน สแตฟฟอร์ดชายด์ เทอร์เรีย..แล้วมาตรฐานพันธุ์ของมันก็ถูกกำหนดโดยคน..บนโต๊ะประชุมตามที่กล่าวข้างต้น..อีกกลุ่มพวกชื่นชอบความเก่งกาจของพิตบูล เขาก่อตั้งสมาคม ADBA แล้วก็ร่างมาตรฐานพันธุ์ภายใต้แนวคิด คงความเก่ง คงศักยภาพไว้..จริง ๆ มันก็ไม่ยากเย็นอะไร..เอาพวกตัวที่กัดเก่ง ๆ ระดับแชมเปี้ยนหลายๆ ตัวมาวิเคราะหโครงสร้างพวกมันดูว่ามีอะไรเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน. หมาพิตบูลเก่งๆ อาจมีรูปร่าง สีสันแตกต่างกันไป.แต่มีจุดหลักๆ ที่ใกล้เคียงกันคือบั้นท้าย..เชื่อกันว่าพละกำลัง 70% ถูกส่งมาจากส่วนท้ายตั้งแต่บั้นขาหลัง (Stifle) ตรงนี้ถ้าเทียบเป็นคนก็คือเข่า..พละกำลังจะถูกส่งจากขาหลังนี้ส่งผ่านมาถึงสะโพก (Hip) ถึงบั้นเอว (loin) ?เวลาแยกหมากัดกันเราหนีบเอวมันไว้..เท่านี้ก็ตัดกำลังได้เกือบหมดแล้ว.. หมาพิตบูลนักสู้ส่วนใหญ่มักมีส่วนท้ายโค้งมนลงเล็กน้อย..ตำแหน่งหาค่อนไปทางต่ำเล็กน้อย(Low set tail)..ปั้นขาหลังต้องกว้าง มีกล้ามเนื้อนูนเด่นชัด และต้องมีมุมโค้ง(Angulation)..หมาที่ไม่มีมุมโค้งมองดูเหมือนขาหลังตึงพวกนี้จะไม่มีแรงส่งที่ดี..ส่วนพวกที่มีมุมขาหลังโค้งมีมุมมากเกินควร (over Angulation) เช่น หมาเยอรมันเช็พเพอด พวกนี้มักมีปัญหาเรื่องข้อกระดูกและสะโพก (Hipdysplasia) คนเลี้ยงหมาตามแบบฉบับของสมาคมใหญ่!..อาจยืนมองว่าหมาพิตบูลพวกนี้ช่างขี้ริ้ว ขี้เหร่!..กะโหลกก็ไม่โตเหมือนหม้อข้าว!..ท้ายก็โด่ง ๆ ความจริงวันนี้คือ นิตยสารไทม์เคยนำมาตีพิมพ์ว่าหมาทุกพันธุ์ที่รับรองโดย AKC ในอเมริกามากกว่า 25 % ต่างมีโรคประจำพันธุ์..และน่าใจหายว่าหมาอเมริกันสแตฟฟอร์ดชายด์ เทอร์เรีย ปรากฏมีโรคข้อสะโพกห่างติดอันดับต้น ๆ.. หมาพิตบูลที่ใช้ในเกมทั้งหมดถูกคัดพันธุ์โดยยึดหน้าที่เป็นหลัก..ส่วนหมาพันธุ์อื่น ๆ ถูกคัดพันธุ์โดยยึดมาตรฐานความงาม (ในสายตาคน)เป็นหลัก..โดยไม่มีการพิสูจน์ตามหน้าที่บรรพบรุษของพวกมัน..ผมยังไม่แน่ใจว่าไอริชวู๊ฟฮาวน์วันนี้ยังคงล่าหมาป่าได้หรือไม่?เกรทเดนยังคงล่าหมูป่าได้หรือไม่?..ร็อตไวเลอร์ยังคงไล่งับขาม้าได้หรือไม่?..แต่ผมแน่ใจว่าบลูด็อกเมื่อหลายร้อยปีก่อนจนถึงวันนี้ยังคงใช้สู้กับวัวได้ (บลูด็อกโบราณยังไม่สูญพันธุ์สายเลือดยังบริสุทธิ์เพราะมันคือพิตบลูนักสู้ทุกวันนี้)
    ป.ล.หมาที่เกิดมามีโรคประจำพันธุ์ติดตัวมาด้วย มันก็คือความโหดร้ายทารุณเหมือนกัน!..
    ไฟล์แนบ
    428.gif 40K
  • เอาแค่นี้ก่อน ถ้าลองหาดูดีๆ จะพบในเวปไซท์เกี่ยวกับพิทนี่แหละครับ

    ขอให้เครดิตผู้แต่ด้วยครับ

    คู่นี้สุดยอดนักสู้ ผมชอบเป็นการส่วนตัวมาก
    ไฟล์แนบ
    a164078.jpg 73K
  • แถมกฎ กติกานักสู้ซักหน่อย พอดีว่าง

    กติกา และกฎข้อบังคับของอาร์มิเทจ
    เพื่อใช้ในการควบคุมการต่อสู้ของสุนัข(1935)
    Armitage?s Rules and Regulations to Govern Dog Fighting (1935)
    กฏข้อที่ 1 เพื่อความยุติธรรม จะสแคชเมื่อมีการหันหน้าหนีจากการต่อสู้ เพื่อให้คำจำกัดความของคำว่า หันหน้าหนีหรือที่เราเรียกกันว่า หมาเทรินส์(turn) ที่ใช้ในที่นี้ หมายถึงการที่สุนัขหันหัว และไหล่ออกจากคู่ต่อสู้ของมันในขณะที่กำลังต่อสู้กัน ซึ่งสุนัขตัวใดตัวหนึ่งหันหน้าหนีโดยที่ไม่สนใจการต่อสู้ โดยที่จะพิจารณาส่วนอื่นๆของร่างกายของสุนัขตัวที่หันหน้าหนีด้วยว่ายังสัมผัสกับสุนัขอีกตัวหรือไม่ เมื่อหัวและไหล่ ถูกหันออกไป มันคือการหันหน้าหนี ซึ่งเราจะเรียกว่า เทรินส์
    อธิบายคำว่า สแคช (สแคช(scratch) คือวิธีที่สุนัขจะต้องแสดงความมุมานะหรือที่เรียกว่ามีความเกมส์ที่จะเข้าต่อสู้ การสแคชประกอบด้วยการให้สุนัขวิ่งออกจากมุมของตัวเองและเข้าไปกัดหมาอีกตัวของฝ่ายตรงข้ามภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ นั่นก็คือภายใน10วินาที)
    กฏข้อที่ 2 ถ้าอันตรายร้ายแรงถูกตรวจพบกับสุนัขตัวใดตัวหนึ่งไม่ว่าก่อนหรือหลังจากการต่อสู้จนจบลงในสังเวียน บุคคลที่ลงเงินเดิมพันของสุนัขที่ถูกตรวจพบจะต้องให้เงินทั้งหมดกับฝ่ายตรงข้าม และคนกลางที่ถือเงินจะต้องจ่ายเงินตามคำสั่งของกรรมการ ทั้งสองข้างสามารถสั่งให้ตรวจสอบสุนัขของฝ่ายตรงข้ามก่อนหรือหลังจากการต่อสู้ ถ้าพวกเขามีความต้องการที่จะตรวจสอบข้อสงสัยที่เกิดขึ้น
    กฏข้อที่ 3 สังเวียนที่จะใช้ในการต่อสู้กันนั้นจะต้องมีขนาดอย่างน้อยที่สุดคือ จะต้องเป็นสังเวียนสี่เหลี่ยมที่มีขนาด14 ฟุต สร้างจากไม้ พร้อมด้วยพื้นเป็นแผ่นไม้ และผนังด้านข้างควรที่จะสูง 2 ฟุต ขัดให้เรียบร้อยเป็นอย่างดี หลังจากแฮนเลอร์ได้ทำการเลือกมุมของตัวเองแล้ว กรรมการจะต้อง(หรือทำแล้ว) วัดระยะ 4 ? ฟุต จากแต่ละมุมและวาดเส้นทแยงมุมข้าม ที่จะทำเอาไว้สำหรับเป็นเส้นที่จะใช้สำหรับสแคช เพื่อให้สุนัขที่จะถูกปล่อยออกจากมุมได้อย่างเหมาะสม
    กฏข้อที่ 4 สุนัขทั้งสองตัว จะต้องถูกชั่งน้ำหนักที่ข้างสนามในวันที่จะทำการต่อสู้ และถ้าสุนัขตัวใดตัวหนึ่งมีน้ำหนักหนักเกินกว่าน้ำหนักที่กำหนดเอาไว้ในข้อสัญญาที่ได้ทำการตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านั้น เจ้าของสุนัขตัวที่มีน้ำหนักเกินจะต้องเสียเงินที่วางมัดจำ(forfeit)เอาไว้กับคนกลางที่ถือเงิน ให้กับเจ้าของสุนัขอีกตัว ซึ่งมันจะเป็นทางเลือกให้กับเจ้าของสุนัขซึ่งมีน้ำหนักไม่เกินตามที่กำหนดเอาไว้ ว่าพวกเขาควรที่จะดำเนินการต่อสู้ต่อไปหรือไม่ หลังจากที่ได้ยึดเงินจำนวนนั้นไปแล้ว
    กฏข้อที่ 5 เมื่อผู้สนับสนุนหรือบุคคลที่ลงเงินเดิมพันของสุนัขทั้งสองข้างมาถึงสถานที่ที่จะใช้ในการแข่งขัน พวกเขาจะต้องตกลงในการเลือกกรรมการที่เข้าใจ กฎ กติกาและกฎระเบียบต่างๆของการแข่งขัน เขาจะต้องได้รับกฎ กติกาการแข่งขัน 1 ชุด เพื่ออ่านให้เข้าใจและถ้าทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ที่จะเลือกกรรมการ คนกลางที่ถือเงินจะต้องเป็นกรรมการหรือแต่งตั้งให้ใครสักคนมาเป็นกรรมการ ซึ่งคำตัดสินของกรรมการถือเป็นคำตัดสินที่สิ้นสุด ในทุกเวลาระหว่างทำการแข่งขัน
    กฏข้อที่ 6 หลังจากที่ได้ทำการเลือกกรรมการแล้ว จะต้องทำการเลือกผู้รักษาเวลาด้วย (time keeper) ซึ่งหน้าที่ของผู้รักษาเวลาก็คือการจับเวลาที่การต่อสู้ได้เริ่มขึ้น และการต่อสู้ได้สิ้นสุดลง และในแต่ละช่วงของการสแคช ผู้รักษาเวลาจะต้องตะโกนบอกเมื่อ25วินาที เพื่อให้ทั้งคู่อยู่ในสภาพที่ ?เตรียมพร้อม? และเมื่อ30วินาทีเขาจะสั่งให้ ?ปล่อย? นี่คือหน้าที่ของเขา และผู้รักษาเวลา ไม่มีอะไรที่จะต้องทำอีกต่อไปกับการต่อสู้ จนกระทั่งมีการหันหน้าหนีหรือที่เรียกว่าการเทรินส์เกิดขึ้น หรือเมื่อมีการอุ้มหมาเข้ามุมของตัวเอง

    ตัวนี้อยู่ในไทยนี่แหละ
    ไฟล์แนบ
    150286512cb1.jpg 95K
  • กฏข้อที่ 7 แฮนเลอร์แต่ละคนจะต้องนำผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่2ผืนมาให้กรรมการ เพื่อที่จะได้เอาไว้เช็ดตัวสุนัขให้แห้ง และจะต้องมีฟองน้ำด้วย ให้กับกรรมการซึ่งมีถังน้ำที่มีน้ำดื่มที่สะอาดอยู่บางส่วน กรรมการจะวางฟองน้ำทั้งสองอันในถังน้ำ กรรมการจะต้องดูแลถังน้ำตลอดเวลาและเมื่อมีการยกหมาขึ้นแต่ละครั้งกรรมการจะต้องส่งฟองน้ำให้กับแฮนเลอร์แต่ละคน เพื่อใช้ในการซับน้ำจากตัวสุนัขของเขา ผู้รักษาเวลาจะตะโกนบอกเมื่อถึง 25 วินาทีให้ ?เตรียมพร้อม? กรรมการจะต้องเอาฟองน้ำไปจากแฮนเลอร์และใส่ลงไปในถังน้ำ ถ้าแฮนเลอร์คนใดไม่สนใจที่จะซับน้ำให้กับสุนัขของเขา เขาอาจจะปฏิเสธที่จะรับฟองน้ำก็ได้ (แฮนเลอร์คือคนที่ลงไปในสังเวียนพร้อมกับสุนัขของเขาหรือก็คือพี่เลี้ยงของสุนัข เพราะฉะนั้นในสังเวียนก็จะประกอบไปด้วยแฮนเลอร์ของสุนัขทั้งสองตัว นั่นก็คือมีแฮนเลอร์สองคน และมีกรรมการอีกหนึ่งคน คนที่เหลือจะอยู่นอกสังเวียนทั้งหมด)
    กฏข้อที่ 8 สำหรับการทำความสะอาดสุนัข ถังไม้ที่จะเอาไว้ใส่น้ำจะถูกวางเอาไว้ที่กลางสังเวียน และมันต้องมีน้ำอุ่นครึ่งถัง และน้ำเย็นในปริมาณที่เพียงพอ พร้อมกับสบู่ทำความสะอาดหนึ่งก้อน ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรรมการที่จะต้องเป็นผู้ดูแลในส่วนนี้ และเรียกแฮนเลอร์เข้าไปในสังเวียน ถามแต่ละคนว่าจะต้องใช้เวลาในการทำความสะอาดตัวสุนัขของฝ่ายตรงข้ามนานแค่ไหน (ปกติจะใช้เวลา10-15นาที ส่วนใหญ่เป็นเวลาที่เพียงพอที่จะล้างตัวสุนัข) หลังจากเวลาที่แฮนเลอร์แต่ละคนต้องการเพื่อล้างสุนัขได้รับการตัดสินใจแล้ว กรรมการจะโยนเหรียญและแฮนเลอร์คนใดคนหนึ่งเลือกหัวหรือก้อย แฮนเลอร์ที่ชนะการโยนเหรียญ จะทำการเลือกที่จะล้างสุนัขตัวใดก่อนและแฮนเลอร์ที่ชนะในการโยนเหรียญมีโอกาสที่จะเลือกว่าจะอยู่มุมไหน เมื่อสิ่งเหล่านี้เสร็จแล้ว กรรมการจะสั่งให้สุนัขที่ต้องล้างก่อนถูกใส่ลงในถังไม้และถูกล้างตัว หลังจากการล้าง สุนัขต้องถูกราดน้ำอีกครั้งและจะต้องทำให้แห้งสนิท หลังจากสุนัขตัวที่ถูกล้างแล้ว จะถูกนำไปอยู่ที่มุมของมันโดยคนที่วางใจได้ที่ถูกเลือกโดยกรรมการ คนผู้นี้จะดูแลสุนัขที่ถูกล้างก่อน และไม่ให้ใครเข้าใกล้มันและแตะต้องตัวมัน จนกระทั่งสุนัขอีกตัวถูกล้างเสร็จ ซึ่งจะส่งสุนัขคืนให้กับแฮนเลอร์ที่เหมาะสม หลังจากที่สุนัขตัวแรกอยู่ในมุมของมันแล้ว สุนัขอีกตัวถูกใส่ลงในถังไม้เดียวกันและล้างราดน้ำและทำให้แห้งสนิทต่อจากนั้นแฮนเลอร์ของมันเองจะดูแลมันในมุมของมัน
    (ปัจจุบันนี้การล้างตัวสุนัขไม่ได้นำวิธีนี้มาใช้อีกแล้ว สุนัขทั้งสองตัวจะอาบน้ำกันข้างนอกสังเวียน และจะต้องให้ฝ่ายตรงข้ามมาเฝ้าดูการอาบน้ำในครั้งนั้นด้วย ส่วนการเลือกทายเหรียญว่าจะอยู่มุมไหนยังคงใช้กันอยู่)
    กฏข้อที่ 9 สุนัขทั้งสองตัวถูกนำมาที่เส้นสแคช(scratch line) อย่างถูกต้อง สุนัขทั้งสองตัวจะต้องยืนให้หัวและไหล่อยู่ในระหว่างขาของแฮนเลอร์ แฮนเลอร์จะต้องไม่พยายามปิดขาของสุนัขของเขาโดยการก้มตัวปกปิดสุนัขของตัวเอง เมื่อถึงเวลาที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายที่จะต้องทำสแคช
    กฏข้อที่ 10 แฮนเลอร์ทั้งสองข้างจะต้องปล่อยสุนัขของพวกเขาให้ออกไปจากระหว่างขาของพวกเขาเมื่อ กรรมการสั่งให้?ปล่อย? เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ผู้ตัดสินจะต้องเห็นว่าแฮนเลอร์ไม่ได้ผลักสุนัขของพวกเขาข้ามเส้นสแคช เมื่อสุนัขของพวกเขาต้องเป็นฝ่ายที่จะต้องสแคช แฮนเลอร์จะต้องไม่ออกจากมุมจนกระทั่งสุนัขเข้าต่อสู้กัน
    กฏข้อที่ 11 สุนัขแต่ละตัวจะต้องถูกควบคุมโดยแฮนเลอร์ของมันเอง ตั้งแต่ต้นจนจบการต่อสู้


    ตัวนี้ผมชอบมากสุดในไทย
  • กฏข้อที่ 12 ถ้าสุนัขตัวใดเลือดไหลจากการถูกกัดด้วยเขี้ยวของตัวเองหรือที่เราเรียกว่าหมาแฟง (fang) แฮนเลอร์ของสุนัขตัวนั้นจะเรียกให้ผู้ตัดสินได้เข้ามาดูและถ้าผู้ตัดสินพบว่าสุนัขเลือดไหล เขาต้องอนุญาตให้แฮนเลอร์ห้ามเลือดสุนัขของเขา ถ้าเขาสามารถทำได้ในขณะที่สุนัขกำลังต่อสู้กัน แต่ถ้าทำไม่ได้แฮนเลอร์ทั้งสองจะต้องจับสุนัขของพวกเขา และผู้ตัดสินจะนำไม้เล็กๆหรือดินสอสอดเข้าไประหว่างเหงือกและริมฝีปากของตัวที่กัดตัวเองและห้ามเลือดสุนัขของเขาก่อน ต่อจากนั้นผู้ตัดสินจะสั่งให้แฮนเลอร์ปล่อยสุนัขของเขาได้ทำการต่อสู้ต่อไป (ปัจจุบันนี้ไม่มีการสั่งให้ห้ามเลือดกับหมาที่เสียเลือดจากการแข่งขัน แต่ถ้าหมาแฟงกรรมการจะสั่งให้แฮนเลอร์ทั้งคู่จับหมาของตัวเอง แต่ไม่ต้องอุ้มเข้ามุมของตัวเอง เสร็จแล้วกรรมการจะเข้ามาดูและช่วยจัดการกับหมาที่เกิดการแฟงให้เสร็จสิ้นไป และดำเนินการต่อสู้ต่อไป ตรงนี้จะไม่มีการสแคช ทั้งคู่จะต้องปล่อยให้เข้าหาคู่ต่อสู้พร้อมๆกัน)
    กฏข้อที่ 13 แฮนเลอร์ทั้งสองข้างจะไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องตัวสุนัขของเขา จนกระทั่งผู้ตัดสินได้อนุญาตให้มีการเทรินส์ และเพื่อให้ได้รับการเทรินส์ แฮนเลอร์จะต้องเรียกผู้ตัดสินและขอให้มีการเทรินส์ เมื่อสุนัขตัวใดตัวหนึ่งหันหน้าหนีหรือเทรินส์ ถ้าผู้ตัดสินอนุญาตให้มีการเทรินส์ แฮนเลอร์สามารถยกสุนัขของเขาขึ้นตอนใดก็ได้หลังจากที่สุนัขทั้งคู่ได้ปล่อยปากจากกัน(ซึ่งทั้งคู่ไม่ได้กัดกัน อาจจะเหนื่อยหรือหอบมากจนไม่ได้กัดกัน) และกันแล้ว แต่ถ้าเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอุ้มสุนัข ตัวใดตัวหนึ่งโดยที่สุนัขอีกตัวยังกัดได้อยู่หรือกำลังอยู่ในการต่อสู้ (ได้เปรียบเพราะว่ายังกัดอยู่ แต่อีกตัวไม่ได้กัด) แฮนเลอร์จะต้องปล่อยให้สุนัขต่อสู้กันอีก แฮนเลอร์จะต้องคอยเฝ้ามองดูจนกระทั่งสุนัขทั้งคู่ปล่อยปากจากกัน จึงจะทำการแยกได้ แต่ถ้าแฮนเลอร์คนใดไม่ยอมที่จะทำตามกฎเขาจะถูกประกาศให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้โดยกรรมการที่จะเป็นคนตัดสิน
    กฏข้อที่ 14 เพื่อให้มีการเทรินส์ วิธีที่ยุติธรรมใดก็ได้ต้องถูกใช้ เช่นพยายามเรียกสุนัขของคุณหรือสุนัขของฝ่ายตรงข้ามให้ออกจากการต่อสู้ แต่แฮนเลอร์ทั้งสองจะไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องสุนัขของพวกเขาจนกว่าการเทรินส์จะได้รับอนุญาตจากผู้ตัดสิน
    กฏข้อที่ 15 สุนัขที่เป็นฝ่ายเทรินส์ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายสแคชก่อน และหลังจากนั้นทั้งคู่จะต้องสลับกันสแคช ไม่ว่าสุนัขตัวใดเป็นตัวที่หันหน้าหนีหรือเทรินส์ก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาททุกอย่างจะต้องเป็นหน้าที่ของผู้ตัดสินที่จะบอกแฮนเลอร์(ของสุนัขที่ได้โอกาสนั้น) มันเป็นโอกาสของสุนัขของคุณที่จะสแคช หลังจากผู้รักษาเวลาตะโกนบอกเมื่อ30วินาทีให้?ปล่อย? และถ้าสุนัขที่ได้โอกาสสแคชไม่ออกจากมุมของมันโดยทันที ผู้ตัดสินจะเริ่มนับ1วินาทีและต่อจากนั้นเป็น2วินาที และถ้าสุนัขไม่เริ่มก่อนกรรมการหยุดนับจนถึง10วินาที ผู้ตัดสินจะประกาศให้สุนัขตัวนั้นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปในที่สุด ในกรณีที่สุนัขเริ่มและหยุดระหว่างทาง มันจะถูกประกาศให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ด้วยเหมือนกัน เพราะสุนัขที่กำลังสแคชจะต้องเข้าไปหาคู่ต่อสู้และสแคชเข้าหาคู่ต่อสู้อย่างแท้จริง
    กฏข้อที่ 16 ถ้าไม่มีการเทรินส์ระหว่างการต่อสู้และหนึ่งในสุนัขต่อสู้นอนลง ช่วยตัวเองไม่ได้อยู่บนพื้นของสังเวียนและไม่ได้ทำการต่อสู้กัน โดยที่สุนัขอีกตัวหนึ่งยืนอยู่ด้วยขาของมันเองแต่ไม่หันหน้าหนี แฮนเลอร์ของสุนัขตัวที่ยืนสามารถขอผู้ตัดสินเพื่ออุ้มสุนัขและถ้าสุนัขไม่ต่อสู้กัน ผู้ตัดสินต้องอนุญาตให้ยกสุนัขขึ้น(ปกติกรรมการจะนับ30วินาที กรณีที่ครบ30วินาทีแฮนเลอร์จะต้องรีบอุ้มสุนัขทั้งคู่เข้ามุมโดยเร็ว) แฮนเลอร์ทั้งสองข้างจะต้องยกสุนัขของพวกเขาไปที่มุมของตัวเอง และเมื่อครบ30วินาที ที่อยู่ที่มุมของตัวเองแล้ว ผู้รักษาเวลาจะสั่งให้?ปล่อย? แฮนเลอร์ของสุนัขตัวที่ยืนจะเป็นฝ่ายที่จะสแคชก่อน ถ้าสุนัขของเขาสแคช ครั้งต่อไปจะเป็นโอกาสของสุนัขอีกตัวที่จะเป็นฝ่ายสแคชบ้างเมื่อมีการยกครั้งต่อไป(กรณีนี้ เราจะเรียกว่าเอ๊า ออฟ โฮด์ (out of hold) คือสุนัขทั้งคู่ปล่อยปากจากการกัด กรรมการจะรีบนับทันที กรรมการจะนับจนกระทั่งครบ30วินาที เมื่อนับครบแล้ว แฮนเลอร์จะต้องรีบอุ้มเข้ามุมเพื่อทำการให้น้ำ หรือทำการนวดตัวสุนัข จนกระทั่งครบ30วินาทีอีกเหมือนกัน จากนั้นกรรมการจะให้สุนัขตัวที่ตกเป็นรอง เป็นฝ่ายที่จะสแคชก่อน ถ้าสุนัขตัวนั้นไม่สแคชหรือวิ่งเข้ามากัดฝ่ายตรงข้าม กรรมการยังไม่ปรับให้สุนัขตัวนั้นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ สุนัขอีกตัวจะต้องสแคชบ้าง ถ้าสุนัขตัวนี้สแคชหรือวิ่งออกจากมุมเข้าไปกัดคู่ต่อสู้ สุนัขตัวนั้นจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าสุนัขตัวนี้ไม่สแคช กรรมการจะถือให้ทั้งคู่เสมอกันไป ไม่มีสุนัขตัวใดเป็นฝ่ายชนะ
    กฏข้อที่ 17 หลังจากสุนัขถูกล้างและอยู่ในมือของแฮนเลอร์ของมันเองแล้ว พวกมันจะต้องถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เมื่อผู้ตัดสินสั่งให้?ปล่อย? เพื่อที่จะได้เริ่มให้สุนัขต่อสู้กัน หลังจากนั้นในการสแคชทั้งหมดของสุนัขทั้งสอง ผู้รักษาเวลาจะตะโกนเมื่อ25วินาทีให้ทั้งคู่มีการ?เตรียมพร้อม?และเมื่อ30วินาทีผู้รักษาเวลาจะสั่งให ?ปล่อย?อำนาจของผู้รักษาเวลาจะหมดไปจนกระทั่งการสแคชครั้งต่อไป ผู้ตัดสินจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบในการตัดสินทันทีที่ผู้รักษาเวลาสั่งว่า?ปล่อย?เสร็จ คำพูดและการใช้กฎของผู้ตัดสินถือเป็นที่สิ้นสุดในทุกเรื่อง
    ไฟล์แนบ
    GR. CH. ART OF SIAM\'S & KENG\'S JAHIN 6xw.jpg 41K
  • กฏข้อที่ 18 จะเป็นขวดน้ำหรืออะไรก็แล้วแต่ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ถูกนำเข้ามาในสังเวียน และไม่มีการส่งอะไรให้กับแฮนเลอร์จากภายนอกของสังเวียนทั้งสิ้น เพื่อที่จะนำมาใช้กับสุนัขทั้งคู่ที่กำลังต่อสู้กันในสังเวียน
    กฏข้อที่ 19 ถ้าในกรณีที่มีตำรวจหรือการขัดขวางอื่นๆเกิดขึ้น ทำให้ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น กรณีแบบนี้จะต้องเป็นหน้าที่ของผู้ตัดสินที่จะบอกเวลาและสถานที่ ที่จะนัดพบกันอีกในครั้งต่อไป และยังคงที่จะดำเนินการต่อสู้ให้เสร็จสิ้นไป ถ้ายังไม่ได้มีการเลือกผู้ตัดสินเมื่อมีการขัดขวางเกิดขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนกลางที่ถือเงินที่จะบอกเวลาและสถานที่แห่งใหม่
    กฏข้อที่ 20 ในกรณีที่มีการขัดขวางเกิดขึ้นหลังจากได้มีการเลือกผู้ตัดสินแล้ว และสุนัขถูกชั่งน้ำหนักแล้ว ผู้ตัดสินจะต้องยืนยันให้ชั่งสุนัขทั้งสองตัวอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเขามาพร้อมกันแล้ว สุนัขทั้งสองตัวจะต้องมีน้ำหนักตามที่ได้ถูกกำหนดเอาไว้ในข้อตกลงกัน และถ้าสุนัขของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีน้ำหนักเกิน ฝ่ายนั้นจะต้องเสียเงินมัดจำให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง
    กฏข้อที่ 21 จะไม่มีการสแคชกับสุนัขที่ตายแล้ว ถ้าสุนัขตัวใดตัวหนึ่งเกิดตายขึ้นมา สุนัขตัวที่มีชีวิตอยู่ได้จะได้รับการประกาศให้เป็นผู้ชนะ
    กฏข้อที่ 22 การพนันภายนอกทั้งหมด ต้องตามเงินเดิมพันและคำตัดสินของผู้ตัดสินถือเป็นที่สิ้นสุดในทุกเวลาระหว่างการต่อสู้จากต้นจนจบ
    กฏข้อที่ 23 สำหรับการละเมิดกฎที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้ตัดสินจะประกาศให้ฝ่ายที่ละเมิดกฎเป็นผู้พ่ายแพ้จากการต่อสู้ในครั้งนั้น

    ข้อสังเกตของผู้แต่ง กฎอาร์มิเทจ เป็นกฎพื้นฐานที่ใช้ในปัจจุบัน โดยมีข้อยกเว้นดังต่อไปนี้
    1.ขนาดที่เล็กที่สุดของสังเวียนจะต้องเป็น16ฟุต ที่มีขนาดเป็นสี่เหลี่ยม
    2.ที่ปูพื้นของสังเวียนปกติเป็นพรมหรือผ้าใบเคลือบน้ำมันและเส้นสแคชซึ่งอยู่ประมาณ6ฟุตจากมุม(เพื่อให้แฮนเลอร์มีที่พอที่จะได้อยู่กับสุนัข) ประกอบด้วยเทปบางชนิดที่จะนำมาเป็นเส้นสแคช
    3.การนับเมื่อหลุดจากการต่อสู้ประกอบด้วย10-30วินาที มากที่สุดและสามารถถูกขอโดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งของสุนัข
    4.แฮนเลอร์จะต้องให้หัวของสุนัขชี้ไปที่มุมของมัน หลังจากการที่ได้อุ้มมันเข้ามุมจนกระทั่งผู้ตัดสินพูดว่า ?ให้สุนัขหันหน้าเข้าหากัน?
    5.มือของแฮนเลอร์ของสุนัขที่สแคชจะต้องอยู่ข้างหน้าไหล่ของสุนัข และเมื่อสุนัขถูกปล่อย มือของแฮนเลอร์จะต้องถูกยกขึ้น เพื่อที่ว่าจะได้ไม่มีข้อผิดพลาดของการผลักสุนัขให้วิ่งออกไปหาคู่ต่อสู้เข้ามาเกี่ยวข้องและเป็นข้อพิพาทกันขึ้น
    6.สุนัขจะต้องไม่ถูกล้างในสังเวียน โดยเฉพาะเมื่อสุนัขอีกตัวอยู่ในสังเวียนผ้าห่มไม่ได้ช่วยให้สุนัขไม่รู้ว่าสุนัขอีกตัวอยู่ที่นั่น และการรู้ว่าสุนัขอีกตัวอยู่ที่นั่น สามารถทำให้สุนัขควบคุมได้ยาก
    7.และสุดท้ายผู้ตัดสินอาจจะแต่งตั้งผู้รักษาเวลาเพื่อให้มาช่วยเขา แต่ตัวกรรมการเองที่จะเป็นคนที่สั่ง?ให้สุนัขหันหน้าเข้าหากัน? เมื่อ25วินาทีและ ให้?ปล่อยสุนัขของคุณ?เมื่อ30วินาที

    สุดท้ายแล้ว ลาละครับ
    ตัวนี้รูปร่างดีที่สุดที่เคยเห็น
    ไฟล์แนบ
    R51-18.jpg 58K
  • ว่างๆ จะโพสข้อมูลแชมเปี้ยนตัวดังๆ ให้อ่านแล้วกัน
    ถ้ามีคนอยากอ่านนะครับ

    แนวตัวนี้ Little bolio ปีศาจร้ายเลย
    ไฟล์แนบ
    Little bolio.gif 72K
  • แนวประมาณนี้ครับ
    อินเดียนโบลิโอ (1 ไฟท์แห่งความทรงจำ) รอม
    เล่าเรื่องโดยแพท แพททริก
    ตอนที่ 1 โบลิโอ เกิดมาจากการผสมพันธุ์โดยชายที่มีชื่อว่า มอริส คาเวอร์ และ เอ็ดดี้ คอส ในปี 1969 พ่อ ของโบลิโอ เป็น สุดยอด หมานักสู้ชื่อดังที่มีชื่อว่าแชมป์เปี้ยน คอส ซีก (4 ไฟท์ ) และแม่ ของโบลิโอ คือ คอส โกดี้ ตัวของ โบลิโอ เองได้สายเลือดที่เข้มข้นมาจากสายเลือดของ คาเวอร์ จูดี้ และน้องสาวของ คาเวอร์ จูดี้ เธอที่มีชื่อว่า คาเวอร์ แบลค วิโด รอม ที่โด่งดัง ซึ่ง ถ้าจะไล่สายเลือดที่ แท้จริง ของโบลิโอแล้ว มัน สืบสายเลือดเหล่านี้มาถึง 55% ( ต้องเข้าไปดูเพ็ดดีกรีของ อินเดียนโบลิโอ จะทำให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้น )
    เบนเน็ต เคล์ตัน จากเท็กซัสซื้อ โบลิโอ มาจาก มอริส คาเวอร์ แล้วส่งมันไปให้ ฟรอยด์ บูโด ฟิตซ้อมเพื่อให้ โบลิโอได้มีคู่แมทซ์เสียที ซึ่งในครั้งนี้โบลิโอได้คู่แมทซ์กับราวดี้ โดยที่ราวดี้ สังหารหมาที่เป็นคู่ต่อสู้ มา ก่อนหน้านี้ของ โบลิโอมาแล้วถึง 2 ตัว โบลิโอ กับ ราวดี้ เคยเซ็นสัญญาที่จะแมทซ์กันมาแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งในครั้งแรก ฟรอยด์ บูโด ยังไม่ค่อยพอใจนักกับสภาพ ความฟิต ของ โบลิโอ เขาจึงได้ ทำการ สละสิทธิ์ โดยยินยอมจ่ายเงินค่ามัดจำจากการทำสัญญากันไว้ และหลังจากที่เขาได้จ่ายเงินค่ามัดจำจากการทำสัญญาในครั้งแรก ไปแล้ว หลังจา กนั้นเขากลับมาทำการเก็บ ตัวฟิตซ้อมฟูมฟักจนมั่นใจในตัวของโบลิโอ เขาจึงได้ทำสัญญาที่จะแมทซ์กับราวดี้อีกครั้ง ซึ่งทั้งคู่จะแมทซ์กันในงานคอนเวนชั่นทางตอนใต้ของเท็กซัส โบลิโอ มีสภาพที่ สมบูรณ์สุดๆ และนั่นก็เป็นสงครามที่น่าดูจริงๆ โบลิโอพิชิตราวดี้ ด้วยเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และถูกโหวตให้เป็น ? เกมส์ที่ดีที่สุด ?( เบส อิน โชว์ ) สำหรับในคืนวันนั้น ซึ่ง ที่คอนเวนชั่น เดียวกันนี้มีแชมป์เปี้ยนหลายต่อหลายตัวได้มาโชว์ตัวด้วยและในบรรดาแชมเปี้ยนเหล่านั้นก็คือ เดวิสแกรนด์แชมเปี้ยนบูมเมอแรง ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุด ถึงผมจะไม่ได้ อยู่ดูเกมส์ การต่อสู้ในครั้งนั้น แต่ก็ได้รับฟังมาจากปากของด๊อกแมนหลายคน และยังได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากนิตยสารกีฬาที่เกี่ยวกับพิทบูลอีกหลายเล่ม
    ตอนที่ 2 หลังจากการต่อสู้ในครั้งนั้น โบลิโอถูกขายต่อไปให้กับผู้ที่ชื่นชอบในสุนัขสายพันธุ์นี้ในรัฐแคลิฟอร์เนียใต้ ซึ่งเจ้าของใหม่ของโบลิโอไม่สนใจที่จะให้โบลิโอลงแข่งในสังเวียนอีกต่อไป ถึงแม้ผมจะรู้สึกว่ามันเป็นพิทบูลด็อกในพิกัด 43 ปอนด์ที่ถือว่าดีที่สุดในขณะนั้น และยังมีชีวิตอยู่ เจ้าของใหม่ของโบลิโอ จึงตัดสินใจที่จะใช้มันเพื่อเป็นพ่อพันธุ์ และนั่นก็เป็นประโยชน์สูงสุดของมัน
    โบลิโอ มีพรสวรรค์มาก มันไม่เคยได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่ครั้งเดียว และก็เป็นโชคดีของผมที่ได้ดู โบลิโอ เทสกับพิทบูลตัวอื่น อีก หลายครั้ง รวมถึงครั้งที่ต้องเทสกับหมาที่มี น้ำหนักที่มากกว่ามันถึง 15 ปอนด์หรือ 6.6 กิโลกรัม โบลิโอ ก็สามารถจัดการกับคู่ต่อสู้ทุกตัวโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
    ผมไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับพิทบูลที่ เก่งหรือมี ประสบการณ์สูงหรือตัวที่มีชื่อเสียงมากนัก บา งตัวอาจจะดีกว่าโบลิโอก็ได้ แต่ผมก็ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับพวกที่ขึ้นตำแหน่งมาได้ อย่างรวดเร็วด้วยการเอาชนะ พิทบูลด็อก ตัวที่แก่ประสบการณ์ในอดีตและกำลังร่วงโรยไปตามวัย และผมพูดได้เต็มปากว่า โบลิโอ เป็น พิทบูลด็อก ที่ดีที่สุดเมื่อเทียบน้ำหนักปอนด์ต่อปอนด์ โบลิโอไม่ใช่หมาที่กัดได้หนักที่สุด แต่ มันสามารถที่จะกัดคู่ต่อสู้ได้ตลอดเวลา
    โบลิโอ เชี่ยวชาญมากในการใช้ชั้นเชิงการต่อสู้ของมัน และบางครั้งมันกัดติดอยู่ที่บริเวณหัวของคู่ต่อสู้ ใช่มันชอบเล่นงานที่หัวของคู่ต่อสู้ โบลิโอ แ ข็งแรงมากๆ และใช้สไตล์การพิชิตคู่ต่อสู้ ด้วยความรวดเร็วบวกกับการใช้น้ำหนักตัวและกล้ามเนื้อของมันคว่ำคู่ต่อสู้ได้ทั้งๆที่ทำร้ายคู่ต่อสู้อยู่แทบตลอดเวลาอยู่แล้ว บางทีคู่ต่อสู้ต้องแบกน้ำหนักของมัน แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว คู่ต่อสู้อาจจะช้าลงเพราะถูก โบลิโอ กัดเข้าที่หัว และมันก็จะจัดการต่อแถวๆ คอ คู่ต่อสู้ตัวไหนเอา โบลิโอ ออกจากหัวมันได้ แต่นั่นก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะไม่ช้า ไม่นานโบลิโอก็ จะกลับไปเล่นงานต่อที่หัวและมันก็จะสามารถควบคุมเกมส์ได้อีกครั้ง ในช่วงที่มันอยู่ในสังเวียน ผมไม่เคยเห็นมันเชื่องช้าลงเลย แม้แต่นิดเดียว มันคล่องแคล่วว่องไวอย่างกับพายุ โบลิโอ เป็นหมาที่มีความตั้งใจ และชอบการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ เมื่ออยู่ที่มุม โบลิโอ จะส่งเสียงร้องอย่างฉุนเฉียวดังลั่น เพื่อให้คุณได้ปล่อยมันลงไปต่อสู้กับคู่ต่อสู้ของมัน บางครั้งมันจะกัดคุณด้วยซ้ำถ้าคุณมัวงุ่มง่ามปล่อยมันได้ไม่ทันใจ
    ตอนที่ 3 โบลิโอเป็นพ่อพันธุ์ที่ดีเยี่ยมเท่าที่เคยมีมา เมื่อผสมกับหมาตัวเมียธรรมดาๆ ที่ไม่ค่อยจะมีความเกมส์มากนัก ซึ่งลูกที่เกิดมาจากโบลิโอจะเป็นพิทบูลด็อกนัก สู้ที่ดี แต่เมื่อมันได้ผสมกับแม่ หมาที่มีความเกมส์เนสก ลับได้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์จริงๆ เพื่อนของผมเกิดไปทะเลาะวิวาทกับเจ้าของ โบลิโอ และลงท้ายด้วยการขโมยเอามันไป ในขณะที่เจ้าของไปโบสท์ ผมไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้และไม่รู้ว่าพวกเขาทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร และที่ไม่ใส่ชื่อ ของคนที่ขโมยลงไปในนี้ก็ เพราะบทความนี้เขียนขึ้นเพื่อสรรเสริญ โบลิโอ ไม่ได้ต้องการทำให้ใครเสื่อมเสีย ชื่อเสียง โดยที่เจ้าของ คนเก่าของ โบลิโอ เองก็ขโมยมัน ไป จากผมเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงเข้าใจความรู้สึกนี้ดีและไม่ติดใจอะไรกับเค้าอีก และ ในที่สุดแล้วเพื่อน เหล่านั้นก็นำ โบลิโอ มาเสนอให้ผม ผมก็เลยรีบรับมันมาทันที และมันก็มาอยู่ในคอกของผมจนกระทั่งมันได้ตายจากไปเมื่อมันอายุได้ 13 ปี
  • โบลิโอ เป็นพ่อพันธุ์ที่ให้ลูกคอกแล้วคอกเล่า ล้วนแล้วแต่เป็น พิทบูลด็อก ที่ดี ผมให้มันอยู่ในอันดับเดียวกันกับ พิทบูลด็อก ที่มีชื่อว่า ทอมสโตน ซึ่งเป็นพ่อพันธุ์ที่วิเศษอีกตัวของผมที่มีในเวลาต่อมา ลูกๆของโบลิโอสุดยอดทุกตัว ไม่ว่าสายเลือดทางแม่จะเป็นอย่างไร ทุกตัวล้วนมีลักษณะเดียวกัน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า โบลิโอ เป็น พิทบูลด็อก ที่ดีที่สุด เมื่อผมให้ลูกสาวของ โบลิโอ นั่นก็คือ เรดเบบี้ ได้ผสมพันธุ์กับเจ้ า ทอมสโตน ผมได้ลูกหมาลักษณะที่ดีมาถึง 13 ตัว โดยที่ 8 ตัวจากทั้งหมด 13ตัว สามารถ แมทซ์ชนะมา ได้ 20 แมทซ์ และ อีก 5 ตัว นั้นผม ใช้ เป็นแม่พันธุ์ จากคอกนี้ผมได้ขายไปบางตัว อย่างเช่นแชมป์เปี้ยน ทองก้า แชมป์เปี้ยน สนับบี้ แชมป์เปี้ยน แครส และ ครีเมเตอร์ ซึ่งเป็น ที่รู้จักกันดีทุกตัว หมาตัวเมียตัว แรกที่ผมให้ผสมกับโบลิโอ คือ เฟส ซึ่งเป็นตัวเมียสายเลือดของ คลาว ครั้งนั้นผมได้หมาที่มีพรสวรรค์ในเกมส์การต่อสู้มาถึง 8 ตัว รวมถึง เชนเล็ง และแชมป์เปี้ยน ปริ้นเซสซึ่งเป็นแม่ของ เรดเบบี้ เป็นพี่น้องของ ออฟเฟอร์ เคซี่เบบ ซึ่ง เป็นพันธุ์ แท้ของคลาว ถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว เรดเบบี้ ให้ลูกที่สุดยอดทั้งนั้น ผมมีตัวเมียอีกตัวที่มีชื่อว่า ทัฟฟี่ซึ่งเป็นสายเลือดของคลาวที่เข้มข้นมาก เกิดมาจากเทเทอร์ และ เฟส และเมื่อผมนำทัฟฟี่มาผสมกับโบลิโอ ผมได้พิทบูลด็อกดีๆ อย่างตัวที่มีชื่อว่า แพททริก บูล บอย บ๊อบ รอม แชมป์เปี้ยนดูแกน นอกจากนี้ผมยังได้เอาโบลิโอ ไปผสมกับสายเลือดของ อีลายจูเนียส์และไอออนเฮด ซึ่ง เป็นสิ่งที่ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ ริกกี้ โจนส์ ที่กล่าวเอาไว้ว่า ? สายเลือดที่ผมชื่นชอบมากที่สุด ก็คือ อีลายกับไอออนเฮด ผ สมข้ามกับพิทบูลที่ได้มาจากมอริส คาเวอร์ซึ่งมีอยู่ในช่วงต้นและกลางปี 70 โดยที่พิทบูลพวกนี้จะ ทำให้คุณได้ลงแข่งหลายครั้ง มากกว่าสายเลือดอื่น จริงๆก็คงมีหมาดีๆ จากสายเลือดอื่น แต่ทั้งนี้แล้วคุณจะได้ประโยชน์มากกว่าเมื่อใช้สายเลือดของ อีลายกับไอออนเฮด ? นี่คือคำพูดของริกกี้ โจนส์ที่ได้ชื่นชอบสายเลือดของอีลายกับไอออนเฮด ริกกี้ โจนส์ สามารถเลือกใช้สายเลือดไหนก็ได้ที่เขาต้องการและก็มีสิทธ์เ ต็ มที่กับความเห็นของเขา ผม ไม่เคยคิดว่าสายเลือดไหนจะวิเศษเหนือสายเลือดอื่นๆ ที่จะทำให้ได้ชัยชนะมาทุกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ริกกี้ โจนส์จะ ย้ำนักย้ำหนาว่าหมาของเขาจะชนะได้มากกว่าหม า สายเลือด อื่น แต่มาถึงตอนนี้แล้วเขาจะรู้มั้ยนะว่ามันเป็นจริงเช่นที่เขากล่าวเอาไว้หรือ ในเมื่อ ริกกี้ โจนส์ ไม่เคย มี หมา สายเลือดอื่นใช้เลยนอกจากสายของ อีลาย
    และ 99.9% ของชัยชนะของเขาก็อยู่ที่สังเวียนหลังบ้านของตัวเองทั้งนั้น ผม ว่าความเห็นของเขาทั้งอ่อนและไม่น่าเชื่อถือ ผมเคยเป็นเจ้าของหมาอย่าง บูลลีซัน อีลายจูเนียส์และไอออนเฮด มาแล้ว และก็เห็นว่า สายเ ลือดของ โบลิโอ วิเศษสุดยอด จนทำให้ผมตัดสินใจขาย บูลลีซัน และอีลายจูเนียส์ ออกไปเพื่อที่จะได้มีพื้นที่เพิ่มให้กับลูกหลานสายเลือดของโบลิโอ ซึ่งการ ได้คุยกับ มอริส คาเวอร์ ในหลายๆ ครั้งที่พบกัน เขาบอกผมมากกว่า 2 ครั้งว่า โบลิโอ เป็นสุด ยอดพิทบูลด็อก อย่างไม่ต้องสงสัย โดยที่บทความ ของผมไม่เคยได้กล่าวถึงสุนัขอีกสองตัวที่ มอริส คาเวอร์ เป็นเจ้าของ อย่างเช่นพิทบูลที่มี ชื่อว่าโชม และช็อคโกแลท โซลเยอร์ โดยที่ทั้ง คู่ชนะมา 4 แมทซ์ พวกมันเกิดจากการผสมพันธุ์ของ ไดม่อนจิม ซึ่งเป็นพ่อ พันธุ์ที่เกิดจากตัวเมียลูกหลานของ โบลิโอ และ ลูเธอร์ ส่วนแม่ของพวกมันก็คือ แพททริกโรส ผมเข้าใจว่า ริกกี้ โจนส์ ได้เครดิตมามากจากชัยชนะหลายครั้งของเขา แต่จริงๆแล้วลูกหมาที่ผมขายไปกลับไปชนะหมา อย่าง แกรนด์แชมเปี้ยน แซดแมนซึ่ง เป็นหมาของ ริกกี้ โจนส์ ถึงแม้ว่าหมาของผมจะเสียเปรียบเรื่องน้ำหนักอยู่ถึง 3 ปอนด์ และที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้ก็คือ แกรนด์ แชมเปี้ยนเอสทีพี บัค รอม ซึ่งเป็นลูกหลานของ โบลิโอ และถ้า ริกกี้ โจนส์ พูดว่า หมาของเขาเป็นหมาที่สุดยอดเหนือกว่าหมา สายเลือดใดๆ ผมก็บอกคุณได้เหมือนกันว่าลูกหลานของ โบลิโอก็จะไม่ ทำให้ใครผิดหวังอย่างแน่นอน และผมจะไม่ยอมแลกลูกหลานของ โบลิโอ กับหมาของ ริกกี้ โจนส์ อย่างเด็ดขาด
    ตอนที่ 4 ผม เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าคนที่รักพิทบูลที่สายเลือด เขาก็จะยังคงไว้ซึ่งสายเลือดนั้นต่อไป ในคอกของ ผมนั้นมีลูกหลาน ของ โบลิโอ จำนวนมากกว่าสายเลือดอื่นๆ ที่เคยมีมา และเกือบทั้งหมดจะมีเลือดของ โบลิโอ และหลายตัว ที่มีความเข้มข้นของสายเลือดสูงอยู่ ถึง 60-70%( ที่เกิดจากการอินบรีด ) ผมไม่คิดว่าจะได้ผลดีเยี่ยมจากการไม่ผสมนอกสาย การได้ผสมกับสายเลือดอื่นที่ดีๆ จะทำให้ได้หมาที่แข็งแรง ผมเป็นแฟนของ โบลิโอ อย่างไม่ต้องสงสัยมายี่สิบกว่าปี มอริส คาเวอร์ บอกกับผมว่า ? ลูกหลานของ โบลิโอ จะให้ชัยชนะแก่คุณ ถึงแม้หลายๆคนจะไม่ชอบพวกมันนัก แต่มันก็ได้ทำหน้าที่ที่ดีของมันแล้ว ? เอ็ดดี้ ครอส และ มอริส คาเวอร์ สมควรจะได้รับเครดิตจากการที่พวกเขาผสมพันธุ์จนได้ โบลิโอ และพี่น้องในคอกเดียวกันกับมันซึ่งได้แก่ เม็นดิซีโน แอนดี้แค็บ และเลกไดม่อน ผมเขี ยนทั้งหมดนี้เพื่อให้เห็นว่าโบลิโอเป็นพ่อพันธุ์ที่ดีที่สุด ผมมั่นใจเหลือเกินว่าผมคงมีแต่หมาบูลด็อก ใน ครอบครองเยอะมากถ้า ผมไม่ได้ยินเรื่องของ โบลิโอ แต่ตอนนี้คอกของผมดีขึ้นมาได้ก็ด้วยการที่ผมได้ โบลิโอ มา ไว้ในครอบครอง ถ้าจะถามผมว่าสิ่งที่ผมอยากจะทำคืออะไร สิ่งนั้นก็คือ ถ้าผมสามารถจะคืนชีพหมาที่เคยมีในอดีต ได้ ผมเลือกที่จะให้เป็น โบลิโอ อย่างแน่นอน

    ไปก่อนครับ
    ไฟล์แนบ
    00017_32.jpg 26K
  • พี่..nop..คับผมขอเบอร์โทรพี่หน่อยได้หรือเปล่าคับผมอยากคุยด้วยคับ
  • ระดับเทพ จริงๆมีข้อมูลกรุณาเทออกมาอีกนะครับขอร้อง ชอบ :o051::o052: ขออีก
  • ขอคุณพี่ๆๆมากนะครับ ขอบคุณครับ:015:
  • ขอบคุณครับ