ยินดีต้อนรับครับ

ขอแนะนำให้ทุกท่าน สมัครสมาชิก เพื่อป้องกันการแอบอ้างชื่อครับ

Mark Mafia

09-09-09 วันนี้เลขสวย
  • ได้รับ Forward mail มา อ่านแล้วได้ข้อคิดดีๆ เลยเอามาฝากครับ

    ** คน ที่เป็น เพื่อน **
    ไม่จำเป็นต้องจบการศึกษาระดับเดียวกัน
    ไม่จำเป็นต้องมีฐานะเท่าเทียมกัน
    ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งหน้าที่การงานเท่าเทียมกัน
    ถ้าคิดแบบนั้น คุณจะไม่มีเพื่อนแท้ดีๆเลยสักคน
    คอยเตือน ยามเพื่อนพลั้ง
    คอยฟัง ยามเพื่อนขอ
    คอยรอ ยามเพื่อนสาย
    คอยพาย ยามเพื่อนพัก
    คอยทัก ยามเพื่อนทุกข์
    คอยปลุก ยามเพื่อนท้อ
    คอยง้อ ยามเพื่อนงอน
    คอยสอน ยามเพื่อนผิด
    คอยสะกิด ยามเพื่อนเผลอ
    คอยเจอ ยามเพื่อนหา
    คอยลา ยามเพื่อนกลับ
    คอยปรับ ยามเพื่อนเปลี่ยน
    คอยเรียน ยามเพื่อนเที่ยว
    คอยเคี่ยว ยามเพื่อนเล่น
    คอยเย็น ยามเพื่อนร้อน
    คอยหอน ยามเพื่อนเห่า
    คอยเฝ้า ยามเพื่อนฟุบ
    คอยอุบ ยามเพื่อนปิด
    คอยคิด ยามเพื่อนถาม
    คอยปราม ยามเพื่อนหลง
    คอยปลง ยามเพื่อนแกล้ง
    คอยแบ่ง ยามเพื่อนหมด
    คอยอด ยามเพื่อนทาน
    คอยคาน ยามเพื่อนล้ม
    คอยชม ยามเพื่อนชนะ
    คอยสละ ยามเพื่อนชอบ

    เพื่อนที่รักเราหาไม่ง่ายเลย ถ้าคนไหนมีแล้ว จงรักษามันไว้ให้ดีดี รักกันไว้ให้มาก ๆ
    ไม่มีอีกแล้วถ้าเราเสียเพื่อนที่ดีไปเพราะ แค่เหตุผล โง่ๆ
  • เรามาที่นี่เพื่อมิตรภาพ เรามาที่นี่เพราะต้องการเพื่อน กันทั้งนั้น
  • ชอบมากเลยป๋า

    ป้าพร กะ ตาโก้ง ดีใจมากมายที่เข้ามาบอร์ดนี้ แล้วได้มิตรภาพ และเพื่อนที่ดีดี เช่นป๋า และอีกหลายๆคน

    เราอยากรักษา มิตรภาพ กับทุกคนให้ยาวนาน อย่าลืมนะเราจริงจัง จริงใจเสมอ
  • แถมอีกข้อ คอยด่า ยามเพื่อนทำไม่ดี :030::030::030:
  • วันนี้ วันที่9 เดือน9 ปี 2009 เวลา 9.00 น. บางกลุ่ม บางองค์กร จะร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพื่อถวายแด่องค์สมเด็จพ่อของเมืองไทย ทางบ้านพิทบลูโซน เราจะร่วมกันน้อมร้องเพลงสรรเสริญถวายด้วยก็ดีนะครับ
    ไฟล์แนบ
    ATT00000[1].jpg 112K
  • คนทุกคนคิดอย่างนี้ได้ทุกคนก็ดี บ้างคนต้องสอนบ้างคนไม่ต้องสอนของอย่างนี้มันอยู่ในตัวของคนๆ นั้นนะพี่มาร์ค สุดท้ายผมก็รักเพื่อนเพราะไม่มีใครอยู่บนโลกคนเดียวได้
  • เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่ร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโรการกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี "ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน
    ในวันนี้คนแน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง โดยปกติแล้วบนถนนสายนี้คนจะแน่นขนัด
    ไปจนถึงเช้าตรู่ แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไป ต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ
    เถ้าแก่ของร้าน "ฮอกไก" เป็นคนซื่อและเถ้าแก่เนี้ย (ภรรยาเจ้าของร้าน)
    ก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า

    พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไป ในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพา
    เด็กชายสองคน คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่ง ประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน เด็กชายทั้งสองคนสวม
    ชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน ส่วนหญิงคนนั้นสวม โอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ

    "เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา

    หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า "ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมค๊ะ"

    เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

    "ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ"

    เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง

    สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินพลางพูดพลาง

    "ทานเถอะครับ" ลูกคนพี่พูด

    "แม่ทานหน่อยสิครับ"ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน

    ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน

    แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า " ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)"
    พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป

    "ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
    ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ ทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น
  • และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง 22.00น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ย กำลังจะปิดร้านอยู่นั้น ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
    ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชย เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่า เป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่า ของปีที่ แล้วนั่นเอง

    "ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยค่ะ"

    "ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะค๊ะ"
    เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สอง ตะโกนไปพลางว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"

    เถ้าแก่รับคำพลาง จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
    เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า

    "นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ"

    "ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย"
    สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน
    เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า

    "เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"
    ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้น
    แล้วให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่
    กินไปพลางคุยไปพลาง เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย

    "หอมจังเลย?ยอดไปเลย?อร่อยจริง ๆ "

    "ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว"

    "ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"
    กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
    แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป

    "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
    มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป
    สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง

    ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00น.ไปแล้ว
    สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00น. พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป พอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกัน
    เอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน" 30นาทีก่อนเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย
    "จองแล้ว" ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สองเหมือนกับว่าจะมีเจตนา รอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ

    22.30น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น
    พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ท
    ที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก
    ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม

    "เชิญค่ะ เชิญค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย
    ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า

    "รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ"

    "ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง แล้วรีบเอาป้าย"จองแล้ว"ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า "บะหมี่น้ำสองชาม"

    "ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ" เถ้าแก่พลางตอบ
    พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อนสามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมากสองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะ ทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกันในใจก็พลอย เบิกบานไปด้วย

    "ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก"

    "ขอบคุณ ?"

    "ทำไมครับ"

    "เรื่องเป็นอย่างนี้ คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไป ได้ทำให้คน อีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ และทางบริษัทประกันก็ไม่ รับผิดชอบ ในส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือน
    ละ ห้าหมื่นเยนทุกเดือน"

    "เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ" ผู้เป็นพี่ตอบ ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร

    "แต่เดิมนั้นเเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"

    "จริง ๆ หรือครับ แม่"

    "จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์ ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่ไปทำงานได้ อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษ อื่น ๆ อีก จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด"

    "ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ

    แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"

    "ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชาย เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ"

    "ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ "

    "แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ คือ ในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้อง
    ได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเ ยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนใน วันพบผู้ปกครอง คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด
    เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆ ของน้องนะครับผมถึงทราบ ดังนั้น ในวันนั้นผมจึงไปเป็น
    ตัวแทนแม่ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง"

    "จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ"

    "หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ "ความปรารถนาของข้าพเจ้า" น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย"

    "เรียงความเขียนว่า?หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว
    ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหามรุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย?"
  • "ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ อร่อยมาก?สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก
    แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก
    เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัด มีชีวิตอยู่ต่อไป พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของ
    คุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด?"

    "ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่ แล้วจะต้องเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน?ขอให้มีความสุขครับ?
    ขอบคุณครับ?"
    สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลัง โต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ ก็หายตัวไป พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลย เพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ

    "พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า
    วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมา กล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ "

    "จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรหล่ะ"

    "ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ผมจึงพูดว่า?ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มัก
    จะอยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความ เรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้น จนจบ ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อสักครู่นี้ถึงจะเรียกว่า
    เป็นความอายจริง ๆ "

    "หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชาม นั้นเพื่อกินกันสามคนนั้น ผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด
    ผมและน้องจะต้องขยัน และดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝาก น้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"

    สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่าง มีความสุขกว่าทุกๆปี สามคนแม่ลูก จ่ายเงินไปสามร้อยเยน
    กล่าวขอบคุณค้อมตัวลง เคารพและเดินออกจากร้านไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริงๆ
    พร้อมกับกล่าวว่า

    "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"

    เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริงๆ พร้อมกับ มองตามหลังสามแม่ลูกไป และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง

    พอถึงเวลา21.00น.ทางร้านฮอกไก ก็วางป้าย"โต๊ะจอง" ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอยการมา เยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย
    แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย

    ปีที่สอง ปีที่สาม โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย กิจการของร้านฮอกไกดีมาก เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่ จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษา ไว้เหมือนเดิม

    "นี่มันเรื่องอะไรกัน" ลูกค้าหลายคนต่างก็ถาม ด้วยความกังขา

    เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจ ตัวเองอย่างหนึ่ง และก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจ จะกลับมาอีก พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้า ทั้งสามของเขา โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "โต๊ะแห่งความสุข"
    ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึง ขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากินบ ะหมี่ และเจาะจง ที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้ ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลาย ๆ ปี เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก
    พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้วก็มักจะมารวมตัวฉลอง โดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก กินไปพลาง ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง แล้วทุกคนก็ไป
    วัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว
  • ในวันนี้พอเลย 21.30น.ไปแล้ว เจ้าของร้านขายปลามา ถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ
    เป็นระยะ บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน ต่างก็คึกคักกันมาก
    ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า วันนี้"โต๊ะจอง"ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง
    มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้า ๆ ออก ๆ พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป พูดเรื่องการค้าบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง ในระยะนี้บ้านไหน
    มีเด็กเกิดใหม่ ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุก ๆ เรื่อง จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เวลาผ่านไปจนถึง 22.30น.

    ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
    ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง
    และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า

    "ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ"

    ขณะปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น
    ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่ม
    ทั้งสองคน ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า

    "เอ้อ?รบกวน?รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมค๊ะ"

    ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว
    ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ ที่โต๊ะทำบะหมี่ ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก

    "พวกคุณ .. พวกคุณ"

    เขาพูดได้เพียงแค่นั้น คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ ชายหนุ่มหนึ่งในสองคน
    เห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับเถ้า แก่เนี้ยว่า

    "พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มา
    สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชาม ทานกันสามคนไงครับ และพวกเราก็ได้รับกำลังใจ
    จากบะหมี่น้ำชามนั้น พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้"

    "หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ
    ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัด
    แผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมา
    ประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว"

    "วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว
    แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อและน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่า
    จะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต
    ได้เสนอความคิดที่เริดเรออย่างหนึ่งก็คือ ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า
    พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร
    และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"

    สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า
    เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู
    พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ
    แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า

    "อ้าว?เถ้าแก่? เป็นอะไรไปหล่ะ อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปี
    เพื่อเฝ้าคอยวันนี้ "โต๊ะจอง" ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะ
    มาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง
    รีบ ๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"

    ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า

    "ยินดีต้อนรับค่ะ?เชิญนั่งข้างในค่ะ?นี่ตาเฒ่า?บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง"
    เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า

    "ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม"

    หากดูกันตามจริงแล้ว สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมัน
    ไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน
    คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ
    รวมทั้งคำอวยพรว่า

    "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ก็เท่านั้นเอง

    แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์คับขัน
    ได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า อย่าพยายาม
    มองข้ามตัวเอง ตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้
    บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจของ
    คุณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่าง
    ไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้

    ด้วยเหตุนี้ความหวังความใฝ่ฝันที่แรงกล้าของพวกเรา ?
    เพื่อนพ้องทั้งหลาย อย่ามัวเห็นแก่ตัวกันหรือเสียดายมันอยู่เลย
    หวังว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไปพวกเราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรัก
    และความเมตตาที่เราอัดเก็บไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบ
    ให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจจุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก
    ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่านั้น

    แต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาว มันเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างอันสุกสกาวจริง ๆ เรื่องนี้ตอนที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจมานับไม่ถ้วนแล้ว
    ดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่า

    "ใครที่อ่านเรื่องแล้ว ไม่มีใครเลยที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้"

    ถึงแม้คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปบ้าง แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้ว
    รู้สึกประทับใจจริง ๆ จนน้ำตาร่วง และน้ำตาที่ร่วงรินเหล่านั้น มันไม่ใช่น้ำตาจากความรันทดใจ แต่เป็นน้ำตาที่หลั่งให้แก่ความประทับใจ ต่อความห่วงใยอย่างจริงใจ และน้ำใจไมตรีอันกว้างขวางที่มอบ
    ให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

    ผมเอามาจากhttp://board.dserver.org/j/jjbook11/00000460.html

    เอาเรื่องดีๆ ไปอ่านในวันดีๆครับ
  • ขอขอบคุณ ลินดา ปีเตอร์สัน ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมทำเว็บแห่งนี้
    ดีใจที่เว็บแห่งนี้ เป็นประโยชน์แก่สมาชิก ช่วยนำพามิตรภาพและเพื่อนดีๆมาให้
    ขอบคุณที่ทุกท่านช่วยสร้างสังคมพิทบูลของเราให้แข็งแกร่งอย่างทุกวันนี้

    ขอให้ทุกท่านที่แวะเข้ามาในกระทู้นี้ ประสบกับความสุขความเจริญและสุขภาพแข็งแรงตลอดไป
  • น้ำตาซึม อ่านเเล้วซึ้งเเละประทับใจมากครับ...........:o030:
  • เป็นกำลังใจให้ pitbullzone และ F1 ขอให้เจริญก้าวหน้าๆ
    ชอบมากกับว่า "เพื่อน" ที่คุณมาร์คลง
    แต่...ขอบอกตรงๆ เพื่อนแท้หายากมากกับคนเลี้ยง..พิบูล
  • โอ้ท่านพี่ nop ซึ้งจริงๆ

    ของพี่มาร์ค ก็เป็นข้อคิดครับ
  • เรียนท่าน Sirichi

    ลองทำวิธีผมซิครับ อาจจะได้ผล
    เราอยากได้อะไร ให้เราหว่านสิ่งนั้นออกไปก่อน
    เราอยากได้เพื่อน เราแสดงความเป็นเพื่อนออกไปก่อน
    รอดูผลตอบรับกลับมา ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น
    มันจะช่วยเราคัดกรองคนที่มีความคิดคล้ายๆกับเราเข้ามา

    วันนี้กลุ่มสกูบ้าพิทของผมจึงเหนียวแน่น
    มีคนขอเสื้อทีม แต่ผมไม่ยอมให้ใครง่ายๆ
    เพราะในกลุ่มนี้ เราต้องการคนที่มีความคิดคล้ายๆกัน
    เราไม่จำเป็นต้องคิดตรงกัน แต่เราเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน

    สมมุติผมให้เพื่อนไปร้อย ผมรอดูว่ามันให้ผมกลับมาเท่าไร
    เราอย่าหวังว่าจะได้คืนหนึ่งร้อย เราจะเสียใจ
    สำหรับบางคนผมอาจจะคาดหวังสูงถึง 80
    แต่สำหรับบางคนมันทอนคืนมาสิบบาทผมก็ดีใจตายห่าแล้ว ฮ่าๆๆๆ
    ไฟล์แนบ
    DSC04782.JPG 59K
  • วันนี้หนังเด็ดๆออกด้วย

    5 แพร่ง อย่าลืมไปดูกันให้ได้นะครับ
  • มีสิ่งดีๆมาให้อ่านตั้งแต่เช้าเลยนะครับ สุขสันต์วัน 9-9-09 ครับพี่ๆน้องๆชาว Pitbullzone:042:
  • ขอให้ทุกๆท่าน มีแต่ความสุขความสมหวัง คิดดี ทำดี ยังไงก็ได้ดีครับ:063:
  • ป๋า แต่ถ้าป๋าให้ผมมา ผมไม่ทอนเลยนะ

    อย่างพี่มาร์คนี่ วันแรกที่ผมเจอ ผมโคตรจะไม่อยากคุยเลย เคยบอกกะป๋าไปด้วย
    ที่ผมไม่อยากคุยก็เพราะทำไม ผมไม่เข้าใจทำไมคนต้องมาคุยกะแก
    แต่วันนี้ เค้าคือ พี่ชายของกลุ่มเรา:063:


    เลี้ยงข้าวด้วยนะ นี่ปั้นให้ซะหล่อเลยนะ ป๋า:063:

    ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการมีเพื่อน ขอเพียงตบไหล่เบาๆอย่างรู้ใจ:006:
    ไฟล์แนบ
    similan-033.jpg 41K
  • คุณมาร์คช่วยสอนผมทำโลโก้หน้าชื่อหน่อยน๊ะ

    ขอบคุณล่วงหน้าครับ
  • ผมจะเอารูปนี้เลย
    ไฟล์แนบ
    โลโก้_resize2.jpg 1K
  • Tonpong ไปดูมุมซ้ายสุดเลย วิธีการสมัครสมาชิก ไปอ่านดู!!
  • คุณต้องย่อรูปให้ได้ขนาดนี้ก่อน แล้วเอาไปฝากไว้ในเว็บใดเว็บหนึ่ง
    ผมแนะนำถ้าไม่รู้จะฝากที่ไหนก็เอาไปแปะไว้ที่ทำเนียบในชื่อของตัวเอง
    จากนั้นค่อยก๊อป URL มาลงในรายละเอียดสมาชิกของตัวเองอีกที
    ไฟล์แนบ
    TGicon.jpg 1K
  • มีพิต...เป็นเพื่อน....

    ดีกว่า

    มีเพื่อน...เป็นพิษ....

    090909...
  • สวัสดีอีกครั้งครับทุกท่าน

    การให้ไปร้อยแล้วไม่หวังจะได้คืนมาร้อย หมายความว่า ส่วนที่หายไป มันอาจจะเป็นความจำเป็นหรือเหตุผลส่วนตัวของเพื่อนที่เราไม่รู้
    แต่ไม่ได้หมายความว่าเราขาดทุนนะครับ เราเองคิดว่าให้เขาไปร้อยแล้ว แต่เขาอาจจะรู้สึกแค่ 50 ก็เป็นได้

    สำหรับท่านยุทธ น้องชายคนเล็กแห่งสกูบ้าพิททีม ผมให้ไปยี่สิบ แกให้กับมาหลายหมื่นเลย ฮ่าๆๆๆ

    ใครผ่านไปแถวถนนบายพาสชลบุรี แวะไปเยี่ยมตอนเที่ยงๆ จะได้กินก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ ฟรี ด้วย
    เรียนเชิญทุกท่านแวะไปเยอะๆครับ
  • 555
    ไฟล์แนบ
    1113.jpg 972B