ยินดีต้อนรับครับ

ขอแนะนำให้ทุกท่าน สมัครสมาชิก เพื่อป้องกันการแอบอ้างชื่อครับ

Mark Mafia

PITBULL...โหดร้ายจริงหรือ
  • ภาพลักษณ์ของสุนัขกลุ่ม working dogs มักถูกมองว่าร้ายกาจ บางครั้งอาจรุนแรงถึงขั้นเปรียบเทียบว่ามันเป็น ?ปีศาจ? ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ สุนัขสายพันธุ์ American Pitbull Terrier ซึ่งเป็นสุนัขที่มนุษย์ที่ยกตัวเองว่าเป็น ?คนดี? มักจะไม่นิยมเลี้ยง แต่ในความเป็นจริงนั้น น้อยคนนักที่จะเข้าใจจริงๆ ว่า Pitbull เป็นแบบไหน เพียงแค่ในจินตนาการและในความคิดเพ้อฝันเท่านั้นที่คนส่วนใหญ่วาดภาพความดุร้ายของ Pitbull แต่ที่จริงแล้วจินตนาการกับความเป็นจริงนั้นห่างไกลกันลิบลับ สื่อต่างๆ ก็มีส่วนในการทำให้ภาพลักษณ์ของสุนัขนี้ดูโหดร้าย เนื่องจากเนื้อหาเหล่านั้นเป็นจุดขายที่ทำรายได้ทำรายได้ก้อนงามได้เป็นอย่างดี และที่ร้ายแรงที่สุดคือไม่ใช่เฉพาะสุนัขเท่านั้นที่โดนกล่าวหา แต่ทั้งสายพันธุ์ของมันก็โดนว่าร้ายไปด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้นับว่าเลวร้ายมากทีเดียวสายพันธุ์ของสุนัขไม่ใช่สาเหตุของการที่สุนัขดุร้าย หรือแม้กระทั่งสุนัขที่ถูกฝึกมาให้อยู่ในกีฬาการต่อสู้ก็ยังไม่มี ?ความดุร้าย? เมื่ออยู่นอกสังเวียนหากมันถูกฝึกมาอย่างดี ผู้เลี้ยงที่ไร้จรรยาบรรณ และไม่มีความรับผิดชอบต่างหากที่ควรถูกกล่าวโทษอย่างเต็มๆ

    ผมเองเป็นคนหนึ่งที่เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ Pitbull Terrier มาโดยตลอดรวมถึงเป็นผู้เพาะสายพันธุ์สุนัขเองด้วยซ้ำ สุนัขที่ผมเคยเลี้ยงทั้งหมดกว่า 30 ชีวิตกว่า 10 ปีไม่เคยมีประวัติกัดคนเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่หลายครั้งที่สื่อประโคมข่าวความร้ายการของมันทำให้สุนัข Pitbull เป็นสายพันธุ์ที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ในความจริงสุนัขพันธุ์ Pitbull นั้นถือสายพันธุ์ที่มีความจงรักภักดีต่อเจ้าของ และมีความกล้าหาญมากที่สุดหากเทียบกับสุนัขสายพันธุ์อื่นๆ อีกแทบทุกสายพันธุ์ หากเช่นนั้นแล้วเพราะเหตุใดสายพันธุ์นี้จึงภาพลักษณ์เลวร้ายนักเล่า?

    อย่างที่บอกไปข้างต้นสื่อต่างๆ มีส่วนให้ข้อมูลผิดๆ ต่อสังคม บวกกับปัญหาที่ทำให้ชื่อเสียงของ Pitbull ดูเลวร้ายก็คือการที่เกมส์กีฬาที่เป็นการนำสุนัข Pitbull มากัดเพื่อต่อสู้กันถูกระบุว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้น กีฬากัดสุนัขเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการทดสอบความกล้าหาญของสุนัข Pitbull สายพันธุ์ที่ถูกระบุว่ามีความกล้าหาญมากที่สุด กีฬาประเภทนี้ปราศจากการทำทารุณกรรมสุนัขอย่างแน่นอนเพราะมันเป็นการประลองฝีมือสุนัขเพื่อทดสอบระดับควากล้าของมันเท่านั้น เจ้าของสุนัขทุกตัวเข้าร่วมกิจกรรมนี้สืบเนื่องจากความรักที่มีต่อสุนัขของเค้า และต้องการให้สุนัขของเค้าอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์ที่สุด ดังนั้นกลุ่มคนที่หลงไหลในกีฬากัดสุนัขจึงไม่ใช้ ?ผู้ร้าย? แต่อย่างใด หากเป็นคนรักสุนัขที่มีความชอบในเกมกีฬาของลูกผู้ชายเปรียบเสมือนคนที่ชอบดูกีฬามวย หรือกีฬาการต่อสู้แต่เมื่อกีฬาประเภทนี้ถูกระบุว่าผิดกฎหมายคนที่เป็นคนที่มีคุณธรรมจึงจำเป็นต้องล่าถอยไปเพราะเกรงต่อกฎหมาย จึงทำให้กลุ่มคนที่เหลืออยู่และยังนิยมในเกมกีฬาเป็นคนที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายใด หรืออาจถือเป็นพวกนอกรีต และนั้นจึงตอกย้ำภาพลักษณ์ของกีฬากัดสุนัขว่าเป็นกีฬาของกลุ่มคนที่ไม่เป็นที่ต้อนรับในสังคมทั่วไป

    กฎหมายเหล่านี้ทำลายสุนัขที่กล้าหาญไปหลายตัวเปลี่ยนคนดีให้เป็นคนร้ายไปหลายคน โดยสรุปการที่เราต้องการทดสอบสุนัขในแง่ของความกล้าหาญถูกมองว่าผิด หรือเป็นอาชญากรรม มันช่างบ้าสิ้นดี! ผลลัพธ์ของกฎหมายเหล่านี้คือสายพันธุ์ Pitbull Terrier ไม่ได้ถูกพัฒนา และกีฬากัดสุนัขตกอยู่ในมือของกลุ่มคนนอกกฎหมายที่มีแต่ความโหดเหี้ยมและป่าเถื่อนต่อสุนัข และด้วยเหตุนี้สังคมจึงตราหน้าว่ากีฬากัดสุนัขทำให้สุนัขดุร้าย รวมถึงกลุ่มคนที่เข้าร่วมกิจกรรมคือกลุ่ม ?ผู้ร้าย? ของสังคม ซึ่งแท้จริงแล้วสุนัขหรือกลุ่ม ?ผู้ร้าย? เหล่านั้นมีส่วนรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของกิจกรรม แต่ผู้ที่ต้องรับผิดชอบหลักก็คือกฎหมายที่สร้างข้อห้าม ข้อจำกัดเหล่านั้นเสียมากกว่า
  • คำถามเกี่ยวกับความ ?โหดร้าย??

    หากคุณคิดว่าการให้สุนัข Pitbull ลงสนามกัดในกีฬากัดสุนัขเป็นสิ่งที่โหดร้าย หากเช่นนั้นแล้วกีฬาชกมวยของมนุษย์ก็เป็นสิ่งท่โหดร้ายไม้แพ้กัน เผลอๆ อาจโหดร้ายยิ่งกว่าเนื่องจาก Pitbull มีสภาพ่างกายที่แข็งแรง และทนทานกว่าเยอะ การให้บทสรุปว่าสุนัข Pitbull ที่ร่วมกิจกรรมการกัดนั้นเป็นสุนัขที่โหดร้ายทุกตัวนั้นผิดอย่างมหันต์ สุนัขที่กัดเพื่อสู้ในเกมกีฬาไม่ได้หมายความว่ามันจะดุร้ายในการใช้ชีวิตร่วมกับคน เพาะหากเป็นเช่นนั้นนักมวยที่อยู่นอกสังเวียนก์คงต้องทำร้ายผู้คนทั่งไปมากมายเต็มไปหมดแล้วล่ะ
    และกับคำกล่าวที่บอกว่า Pitbull เป็นสุนัขดุร้ายเพียงเพราะว่ามันสนุกกับกีฬาการกัดนั้น ก็คงต้องบอกว่าไม่เป็นสาระเลย เช่นเดียวกับนักชกที่ก็ไม่ได้ดุร้ายเลยหากอยู่นอกสังเวียน ถามว่าทำไม่ถึงแน่ใจได้เช่นนี้ คำตอบคือจากประสบการณ์กว่า 20 ปีของผมกับสุนัข Pitbull นั้นสามารถยืนยันได้ว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงที่ฉลาดมาก และมันรู้จักที่จะผ่อนคลายรวมถึงเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักของคุณในเวลาที่มันไม่ด้อยู่ในสังเวียนกัด สรุปสั้นๆ คือ Pitbull เป็นสัตว์เลี้ยงที่มีมันสมอง ฉลาดคิด และไม่ได้ก้าวร้าวกัดไม่เลือกตลอดเวลา ถึงแม้ว่ามันจะถูกฝึกมาเพื่อให้กัดแต่ด้วยมันสมองของมันทำให้มันรู้ว่าช่วงเวลาไหนที่มันควร หรือไม่ควรกัด นี่คือ American Pitbull Terrier ในรูปแบบของตัวตนที่แท้จริงที่มันถูก breed มาให้เป็นนักสู้ที่สู้ยิบตาเมื่ออยู่ในสังเวียน และเพื่อนแสนรู้ผู้ซื่อสัตย์ของคุณเมื่ออยู่นอกสังเวียนกีฬากัดสุนัขในอดีตก่อนที่จะถูกห้ามนั้นถือเป็นกีฬาแห่งศักดิ์ศรี บุคคลในสังคมชั้นสูงล้วนแล้วแต่ต้องเคยเข้าร่วมชมในกีฬานี้ไม่เว้นแม้กระทั่งประธานธิบดีแห่งสหรัฐ อเมริกา ปัญหาคือกลุ่มคนที่คิดว่าตัวเองทำเพื่อปกป้องสิทธิ์ของสัตว์โดยที่ไม่เคยรู้ว่าสัตว์เหล่านี้คิด และรู้สึกอย่างไรเมื่อตัวมันได้กัด บุคคลเหล่านี้เห็นแค่เลือดกับความรุนแรงและด่วนสรุปเอาเองว่านี่คือความโหดร้าย และการทารุณสัตว์ความโหดร้ายไม่ได้อยู่ที่มุมมองของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ที่เป็นคนกระทำ หรือประสบกับเหตุการณ์นั้นๆ ด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับที่ Pitbull ที่กัดอยู่เท่านั้นที่จะสามารถบอกได้ว่านี่คือความโหดร้ายหรือไม่ แต่โชคร้ายที่ความชัดเจนเหล่านี้ไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในความเข้าใจของกลุ่มคนเหล่านี้ที่ไม่ใส่ใจต่อมุมมองของใครนอกจากของตัวเอง กิจกรรมที่ดูโหดร้ายสำหรับสัตว์หนึ่งชนิด แต่อาจไม่โหดรายสำหรับอีกนึ่งชนิด เช่นหากคุณนำสุนัขพันธุ์ Poodle มากัดเหมือนกับ Pitbull แน่นอนนั้นคือความโหดร้าย และทารุณกรรม แต่ Pitbull คือสายพันธุ์ที่ถูกสร้างมาให้เผชิญกับความกล้าหาญ และการกัดคือวิธีการทดสอบความกล้าหาญของมัน
  • รากฐานของความโหดร้าย

    ความโหดร้ายเป็นเรื่องของมุมมองของผู้ที่กำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่ อย่างที่ผมบอกไปว่าเราไม่สามารถตัดสินความโหดร้ายได้นอกจากว่าเรานั้นเองที่กำลังเผชิญกับมันอยู่ นอกเหนือจากนั้นมันเป็นแค่ความคิดเห็นของเราเท่านั้นเอง อีกหนึ่งปัจจัยก็คืออยู่ที่ผู้เข้าร่วมในเหติการณ์ ไม่ใช่ที่ตัวเหตุการณ์ที่เราจะบอกว่ามันเป็นเหตุการณ์ หรือกิจกรรมที่โหดร้าย ยกตัวอย่างเช่นการวิ่งมาราธอน 5 กม.ในวันที่แสงแดดแทบจะเผาผลาญ หากเป็นนักกีฬาวิ่งมาราธอนที่แข็งแรงเต็ม 100 มาลงแข่งเราคงไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่โหดร้าย แต่หากในการแข่งขันเดียวกันมีนักกีฬาที่เป็นโรคหัวใจมาลงแข่ง เราคงมองว่ามันเป็นการแข่งขันที่โหดร้าย แต่โชคไม่ดีที่ในสังคมปัจจุบันมีคนมากมายที่พยายามยัดเยียดมุมมองส่วนตัวให้กับสังคมเพื่อให้ยอมรับมุมมองส่วนตัวเป็นมุมมองส่วนรวม หากคุณนำสุนัข Pitbull มากัดกับสุนัข Poodle แน่นอนความโหดร้ายนั้นถูกต้องสำหรับเจ้า Poodle ที่ตัวสั่นงันงก และกลัวจนแทบคลั่งในขณะที่เจ้า Pitbull มีความสุขกับการต่อสู้เป็นอย่างมาก นั้นเป็นบทพิสูจน์ของรากฐานของความโหดร้ายว่าผู้เข้าร่วมในเหตุการณ์เท่านั้นที่จะตัดสินได้ว่าเหตุการณ์นั้นๆ โหดร้ายสำหรับเขาหรือไม่ เพราะฉะนั้นการเข้าใจในมุมมองของสุนัขเท่านั้นจึงจะทำให้เรารู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร ว่ามันกำลังทุกข์ทรมานหรือมันกำลังสนุก และมีความสุขในการที่มันได้กัดเพื่อทดสอบศักยภาพของตัวมันเอง และนี่คือคำตอบอีกครั้งว่าการตัดสินว่ากีฬากัดสุนัข Pitbull เป็นกิจกรรมที่ผิดกฎหมายนั้นไม่ได้แก้ปัญหาการทารุณสัตว์ แต่การเลือกสุนัขที่เหมาะสมกับกีฬาดังกล่าวต่างหากจึงจะแก้ปัญหาได้

    ขยายความคำว่า ?โหดร้าย?

    ในเกมการแข่งขันเมื่อใดที่สุนัขแสดงอาการ ?ยอมแพ้? หรือไม่ต้องการที่จะอยู่ในเกมอีกต่อไปแล้วนั้นล่ะคือจังหวะที่เกมกีฬาจะเปลี่ยนเป็นความโหดร้ายสำหรับตัวนั้นหากเรายังไม่ให้มันยุติเกม หรือหากเกมยังคงดำเนินต่อไปก็จะกลายเป็นการทรรุณสุนัขตัวนั้นทันที Dogman ที่ดีจะต้องหยุดเกมทันที ดังนั้นการออกกฎหมาย ban กีฬาประเภทนี้จึงทำร้ายสุนัขมากกว่าที่จะช่วยเหลือมัน อย่างที่เคยกล่าวไปเบื้องต้นว่าเมื่อกฎหมายถูกบังคับใช้คนที่เคารพกฎหมายและเป็นคนดีจึงเลิกเล่นเกมกีฬานี้ คงเหลือก็แต่พวกนอกรีตที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้มาซึ่งเงินเดิมพันดังนั้นอย่าคาดหวังว่าจะมี dogman ที่ดีอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้สุนัขจึงต้องเจอกับความโหดร้าย กฎหมายไม่ได้ช่วยเหลือสุนัขแต่กลับทำร้ายมันต่างหาก เหตุผลที่แท้จริงของการแข่งขันคือเพื่อทดสอบพละกำลัง และความสามารถของมันถูกพับเก็บไป เปลี่ยนเป็นการแข่งขันเพื่อล่าเงินรางวัลของการเดิมพันโดยไม่สนใจกับสภาพของสุนัข
  • บทความจาก http://www.dogmanclub.com/index.php