ยินดีต้อนรับครับ

ขอแนะนำให้ทุกท่าน สมัครสมาชิก เพื่อป้องกันการแอบอ้างชื่อครับ

Mark Mafia

สันชาติญาณหมาไทยกับหมาฝรั่ง
  • อยากทราบว่าทุกคนมีความเห็นอย่างไรกับสันชาติญาณหมาไทยกับหมาฝรั่งต่างกันอย่างไรบ้างครับ ช่วยกันแสดงความคิดเห็นกันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
  • ก็ดีทั้งคู่อะครับ แต่ว่าหมาไทยมันกัด กันไม่ค่อยสะใจเหมือนหมาฝรั่ง แต่ผมอยากเห็นบางแก้ว กัดกับพิทบลูอะครับ จัดหามาให้ดูหน่อยได้ป่าว
  • :o001: ที่แน่หมาไทยดุครับตามนิสัย แต่เรื่องกัดเก่งไม่เก่งไม่รู้ แต่หมาฝรั่งน่าจะกัดโหดครับ ดูตามลักษณะตัว
    :o001: พี่ผมเป็นทหารหมา บอกว่าหมาไทยเวลาพาไปฝึกนั่งรถ GMC คนละฝั่งเวลามันมองหน้ากันแง่งๆเข้าใส่ ถ้าหมาฝรั่งมันจะมองเฉย แง่งๆสักพักห้ามก็ไม่ฟัง ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ สักครู่กระโดดฟัดกันให้นัว ตกรถเลย นี่หล่ะฤทธิ์หมาไทยนักเลงหมาจริงๆ ขนาดคนไทยมองหน้ายังเคืองไม่เลิก(ดูจากตัวผมเองด้วยแปลกจริงๆคนไทย)
  • หมาไทยดื้อพูดคำเดียวไม่ค่อยรู้เรื่องไม่มีระเบียบ
  • ผมว่าหมาไทย ฉลาดโดยสัญชาติญาณมากครับ อย่างเวลาเห็นงู หมาไทย กับพิต จะต่างกัน โอกาศรอดจะเยอะกว่าพิต

    แต่ว่าค่อนข้างดื้อ ระแวงคนแปลกหน้า รักคนในบ้าน เข้ากับสภาพแวดล้อมบ้านเราได้ดีมาก สังคมในฝูงมีลำดับกันดี

    เรื่องกัด โหดไม่โหดผมว่าเป็นที่นิสัยของพันธุ์อ่ะครับ แล้วเรื่องการได้เปรียบเสียเปรียบผมว่าขึ้นอยู่กับขนาดและนํ้าหนัก

    ถ้าพิตไปกัดกับ บลูมาสตีฟ ก็คงลำบาก เพียงแต่ว่า พิต มันมีจิตใจที่ชอบการต่อสู้มากกว่าพันธุ์อื่นๆ และจากการได้ฝึกฝน

    มาตั้งแต่เล็กๆ(สังเกตุจากมันชอบเล่นกัดกัน ตั้งแต่เล็ก จนโต)จึงทำให้มีทักษะสูงกว่าพันธุ์อื่นๆในเวลาเดียวกัน

    ผมว่าประมาณนี้อ่ะ
  • เลี้ยงหมาไทย โอกาสได้จ่ายตัง เพราะมันไปกัดคนสูง ที่บ้านผมเสียเงินไปหลายครั้งแล้วครับ
  • อย่าแบ่งแค่หมาไทย กับหมาฝรั่งเลยครับ เพราะหมาไทย เรามีแค่ ๒ พันธุ์คือหลังอาน กับบางแก้ว ส่วนหมาฝรั่งมีเป็นร้อยพันธุ์ มีตั้งแต่จิ๋วแบบชิวาวา ยักษ์แบบเกรดเดน ทำมาเพื่อกัดแบบพิทบูล หรือทำมาเพื่อลากของแบบฮัสกี้


    จากนั้นก็ต้องมาดูเรื่องต้นกำเนิด ประกอบกับเรื่องสัญชาติญาณครับ สุนัขไทยทั้ง ๒ สายพันธุ์อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ดั้งเดิม การเกิดขึ้นเกิดโดยธรรมชาติ และการพัฒนาสายพันธุ์อย่างจริงจังก็ยังมีมาไม่นาน ดังนั้นสัญชาติญาณคล้ายสุนัขป่าจึงยังคงมีอยู่สูงครับ ทั้งเรื่องการเอาตัวรอดหากถูกทิ้ง จากหลบหนีจากที่กุมขัง การกัดเพราะป้องกันตัว หรือเมื่อไม่สบายใจ ส่วนสุนัขต่างประเทศส่วนใหญ่หลายสายพันธุ์เกิดจากมนุษย์สร้าง และเพาะพันธุ์ขึ้น และทำมาเป็นร้อยปีแล้ว ฉะนั้นสัญชาติญาณอาจจะไม่เท่าสุนัขของไทย แต่หลายสายพันธุ์ถูกเพาะขึ้นเพื่อมาทำงานร่วมกับมนุษย์ หรือเพื่อทำงานเป็นฝูงใหญ่ๆ ดังนั้นพวกนี้จึงเหมาะกับการทำงานกับมนุษย์ หรือการเลี้ยงรวมฝูงมากกว่า สุนัขแต่ละสายพันธุ์ก็เหมาะกับงานที่ต่างออกไปครับ ตามแต่สายพันธุ์เขาสร้างมาเช่น

    ๑. เอาสุนัขไทยเข้าป่าไปด้วย ปล่อยเขาอย่างอิสระ ผมเชื่อว่าเขาคงจะไปจับนก จับหนู มุดรู กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางได้อย่างไม่ยากเย็น และทำได้ดีกว่าสุนัขต่างประเทศหลายสายพันธุ์ และถ้าหลงป่าไป เขาก็คงจะจับสัตว์กินเองได้ เพราะยังมีสัญชาติญาณของสุนัขป่าอยู่ แต่ก็คงจะสู้ Saloos Wolfhound ไม่ได้ เพราะแม้จะเป็นสุนัขสายพันธุ์ต่างประเทศ แต่ก็เป็นสายพันธุ์ที่ผสมข้ามระหว่างสุนัขป่า กับสุนัขบ้าน และเพิ่งมีการผสมแบบนี้มาไม่นาน ดังนั้นสัญชาติญาณต่างๆ แบบสุนัขป่าจึงมีสูงมากๆ

    ๒. เอาสุนัขไทยไปฝึกเข้าโครงการสุนัขทหาร หรือตำรวจ แบบนี้ก็ต้องหนักใจหน่อย เพราะสุนัขไทยไม่ได้ถูกพัฒนาพันธุ์มาแบบนั้น จะให้ไปอยู่ในกฎระเบียบก็สู้พวกอัลเซเชี่ยนไม่ได้

    ๓. เอาสุนัขไทยไปกัด ก็คงโดนพิทบูลกัดตาย เพราะไม่ได้พัฒนามาเพื่อกัด

    ๔. แต่ถ้าเอาพิทบูลมาแข่งเก็บลูกบอลกับพวกลาบราดอร์ ก็คงสู้ไม่ได้ เพราะลาบราดอร์พัฒนามาเพื่อการไปเก็บของมาให้ เขาจึงมีความสุขในการทำสิ่งนั้นมากกว่า

    ๕. เอาอัลเซเชี่ยนไปปล่อยกลางป่า ให้หาทางเอาตัวรอดเอง ก็คงอยู่ได้ไม่นาน เพราะสายพันธุ์นี้แม้จะเพรียบพร้อมในหลายอย่าง แต่เรื่องสุขภาพค่อนข้างเปราะบาง

    ๖. เอาลาบราดอร์มาต้อนแกะ ก็คงสู้พวก คอลลี่ไม่ได้


    ดังนั้นทุกอย่างอยู่ที่สัญชาติญาณว่าเขาถูกทำขึ้นมาเพื่ออะไรครับ แล้วค่อยมาวัดว่าพันธุ์ไหนมีสัญชาติญาณในเรื่องนั้นมากกว่ากัน:015:
  • เห็น้วยกะคุณ nol เยี่ยมไปเลยครับ
  • โทษนะครับ เราลองมาเปรียบกับคนดูครับ คนไทยกับคนฝรั่ง
  • อย่างนิสัย ความเป็นอยู่ สังคม
  • ขอบคุณทุกคนครับ ที่ร่วมแสดงความคิดเห็น
  • การเอาตัวรอด(เห็นแก่ตัว) กัด(ตอด) ไม่รู้ระเบียบ(แหก)ฯลฯ ลองเอามาเปรียบเทียบดูนะครับ
  • ผมเคยเลี้ยงบางแก้ว ตอนนี้เลี้ยงพิทบูล ดูแล้วแล้วก็ไม่ต่าง จากลักษณะแล้วคนเห็นก็ว่าดุทั้งคู่
    แต่จริงๆไม่ว่าจะไทยหรือนอกน่าจะอยู่ตอนที่เราเลี้ยงด้วยมากกว่า
  • มีการกัดก็มีบาดเจ็บใจเขาใจเราครับมันไม่สนุกหลอกครับ
  • :o001:สันชาติญาณครับ การฝึกการเลี้ยงขอต่างหากนะครับ ขอยกตัวอย่างเรื่องไฟไหม้ซานติก้า ที่ฝรั่งเข้าออกมาได้แล้วยังอยู่ช่วยคนอื่นๆอีก คนแถวบ้านเขาทำงานบัญชีที่ซานติก้าครับ ไปตายที่โรงบาล(ไกล) เครื่องประดับ ของมีค่า หายหมดครับ:o018:
  • คุณนลแน่ใจหรือว่าพิทเก็บลูกบอลสู้ราบาดอร์ไม่ได้
    พนันกับผมไหม คว้างลูกบอลให้ไกลที่สุดแล้วปล่อย
    ให้วิ่งออกพร้อมๆกัน ตัวไหนเก็บบอลได้เป็นผู้ชนะ
  • คุณผีครับ ผมไม่ได้หมายถึงว่าใครวิ่งเร็วกว่าครับ ผมหมายถึงว่าความคงทนในการวิ่งไปกลับเก็บลูกบอลครับ และผมหมายถึงในค่าเฉลี่ยรวมครับไม่ใช่แค่ตัวใดตัวหนึ่ง ลาบราดอร์ส่วนมากแล้วจะเล่นจนกว่าเจ้าของจะหยุดขว้างครับ ไม่ค่อยเลิกไปเอง ขณะที่พิทบูลถ้าไม่ใช่พวกที่เจ้าของฝึกมาเพื่อเล่นจริงๆ ส่วนใหญ่เล่นสักพักก็เลิกไปเองมากกว่าครับ


    ถ้าจะให้เอาความเร็วในการวิ่งไปเก็บบอลแบบนี้ก็คงขึ้นอยู่กับความเร็วของแต่ละตัว ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นทั้งพิทบูล และลาบราดอร์ก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความเร็วทั้งคู่ จึงน่าจะขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละตัว แต่ถ้าให้ผมถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และถ้าเป็นสุนัขที่เป็นสายใช้งานของทั้ง ๒ สายพันธุ์ (ทั้งพิทสายใช้งาน และลาบราดอร์จากสายใช้งาน) ผมก็ขอถือหางลาบราดอร์อยู่ดีครับ เพราะถ้าเป็นลาบราดอร์ใช้งานจริงๆ ก็มีความคล่องแคล่วมากพอควร แถมยังมีขาที่ยาวกว่าพิทบูล ตามความเห็นผมน่าจะได้เปรียบกว่าในเรื่องความเร็ว เพราะจังหวะก้าวที่ได้เปรียบครับ แต่ขออย่าปล่อยพร้อมกันนะครับ ให้วัดระยะทางแล้วจับเวลาเอา เพราะถ้าปล่อยพร้อมกันดีไม่ดีพิทบูลกัดลาบราดอร์ตายก่อนแหง


    แต่อย่างไรเสีย ทั้ง ๒ สายพันธุ์นี้ ถ้าจะเอาความเร็วก็สู้สุนัขที่พัฒนามาเพื่อความเร็วเช่นพวก Sight Hound ต่างๆ ไม่ได้แน่ครับ คนละชั้นเลย :015:
  • ส่วนของคุณ Ken ผมก็อยากให้ยกตัวอย่างของสายพันธุ์สุนัขฝรั่งมาด้วยครับ เพราะมันเยอะเหลือเกิน เช่น

    - ไทยหลังอาน เทียบกับบูลด็อก แบบนี้แน่นอนครับว่าหลังอานสัญชาติญาณต่างๆ ด้านการเอาตัวรอดมากกว่าเยอะ บูลด็อกแค่เอาไปปล่อยในป่าห้วยขาแข้ง ไม่เกิน ๑ วันก็คงจะตายไปแล้วครับ

    - ไทยหลังอาน เทียบกับพวก Wolfdog ทั้งหลาย แบบนี้ผมขอถือหางพวก Wolfdog ครับแม้จะเป็นพันธุ์ต่างประเทศ แต่สัญชาติญาณดิบต่างๆ มีมากกว่าหลังอานแน่ครับ เพราะพัฒนาสายพันธุ์มาไม่นาน และการเชื่อฟังคำสั่งก็ฝึกยากกว่าหลังอานครับ

    - ไทยหลังอาน เทียบกับ Border Collie ถ้าเอาเรื่องการฝึกนี่ไม่ต้องสู้เลยครับ Border Collie สามารถแยกได้แม้กระทั่งเสียงผิวปากเสียงยาว กับเสียงสั้น ว่าเป็น ๒ คำสั่งที่ต่างกัน แถมอึดทำงานตามคำสั่งมนุษย์ได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ


    เราคงจะไปเทียบสายพันธุ์เช่นระหว่างคนไทย กับคนฝรั่ง โดยเอาเฉพาะสัญชาติญาณจากสายพันธุ์ไม่ได้ครับ เพราะคนไทย กับคนฝรั่งต่างกันที่การเลี้ยงดู คนไทยเราถ้าถูกฝรั่งอุปการะไปเลี้ยง โตขึ้นในสังคมเมืองนอก ก็จะพูดไทยไม่ได้ และมีแนวคิดเป็นฝรั่งครับ ตัวอย่างก็เช่น Maddox ลูกเลี้ยงของ Jollie ที่เป็นเด็กเขมร ผมเชื่อว่าถึงเขาเป็นเด็กเชื้อสายเขมร แต่ก็คงไม่เหลืออะไรที่เป็นวัฒนธรรมเกี่ยวกับเขมรแล้วครับ เพราะถูกรับเลี้ยงไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ โตไปให้เราหลับตาคุยด้วย ทั้งภาษา ทั้งแนวคิดก็คือฝรั่งนั่นแหละครับ ขณะที่คนฝรั่งเอง ถ้าถูกคนไทยเอามาเลี้ยงแบบไทยๆ เขาก็จะมีแนวคิดแบบไทยครับ เช่นพวกคุณมอริส เค หรือคุณแดนนี่ ศรีภิญโย ที่แม้จะเป็นลูกครึ่งต่างชาติ แต่เกิดและโตในเมืองไทยท่ามกลางสังคมคนไทย แนวคิดต่างๆ ของเขาก็คือคนไทยเรานี่แหละครับ :015:
  • ครับขึ้นอยู่ที่การเลี้ยงว่าจะให้เขาเป็นแบบไหน คือทุกสายพันธ์ครับเอาข้อดีข้อเสียรวมกันเลยครับ แล้วค่อยเปรียบเทียบ ว่าใครเด่นด้อยกว่ากันครับ เรื่องการฝึกเป็นเรื่องรองก่อนครับ เอานิสัย สันชาติญาณดิบๆเลยครับ ว่าจะแตกต่างกันไหมครับ ในด้านต่างๆ
  • งั้นผมขอยกตัวอย่างเป็นบางสายพันธุ์แล้วกันครับ เพราะคำว่าสุนัขต่างประเทศนี่มีอยู่เกิน ๓๐๐ สายพันธุ์เสียอีก เอามารวมคงไม่ไหว และผมก็คงไม่มีความรู้ขนาดนั้น

    - พวกกลุ่ม retriever พวกนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเก็บนกที่ถูกเจ้านายยิง แล้วเก็บกลับมา ดังนั้นคือโดนพัฒนามาเพื่อทำกิจกรรมกับมนุษย์ เรื่องการตอบสนองคำสั่งจึงทำได้ค่อนข้างดี และมีสติที่แม้จะมีเนื้อยู่ในปากก็จะไม่กินเอง แต่จะคาบมาให้เจ้านาย แต่พวกนี้อาจมีปัญหาเวลาเอามาเลี้ยงแล้วไม่ค่อยสนใจเขา คือสักแต่ปล่อยๆ อยู่ในบ้านไม่มีกิจกรรมให้เขาทำ พวกนี้มักมีอาการชอบเดินคาบของวิ่งไปมาครับ เพราะเป็นลักษณะทางสายพันธุ์

    - พวกกลุ่ม scent hound หรือพวกฮาวนด์ที่ใช้ดมกลิ่น พวกนี้ถูกพัฒนามาเพื่อใช้ดมกลิ่นสุนัขจิ้งจอกแล้ววิ่งตามกลิ่นไปอย่างเดียว และให้อยู่รวมเป็นฝูง ไม่ได้มีการฝึกให้เชื่อฟังคำสั่ง มีอย่างเดียวคือถ้าได้กลิ่นแล้วให้หอนเพื่อส่งสัญญาณเพื่อให้สุนัขตัวอื่นในฝูง หรือคนเลี้ยงสามารถขี่ม้าตามเสียงไปได้ครับ พวกนี้ก็จะฝึกสอนยาก และถ้าไม่มีการฝึกฝน หรือไม่มีกิจกรรมให้เลย พวกนี้มักเห่าหอนไม่หยุดปาก

    - พวกกลุ่ม sight hound หรือพวกฮาวนด์ที่ใช้สายตาไล่ล่า ก็คือพวกสุนัขวิ่งแข่งทั้งหลาย พวกนี้ก็ถูกพัฒนามาเพื่อวิ่งไล่ฆ่าสัตว์อย่างเดียวครับ ไม่ได้ถูกเพาะขึ้นมาเพื่อเชื่อฟังคำสั่งมนุษย์ มนุษย์แค่ขี่ม้าตามไปเอาสัตว์ที่เขาฆ่าได้กลับมาเท่านั้นเอง พวกนี้ก็จะวิ่งเร็ว มีลักษณะลู่ลม แต่ปัญหาคือมักจะเลี้ยงร่วมกับพวกสุนัข หรือสัตว์เล็กๆ ไม่ได้ เพราะเนื่องจากตามสัญชาติญาณนี่แรงขับในการไล่ล่าสูงมาก จึงมักจะชอบเห็นสัตว์ตัวเล็กๆ เป็นเหยื่อครับ

    - พวก herding หรือพวกต้อนแกะ พวกนี้เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างฉลาดที่สุด เพราะถูกพัฒนาขึ้นมาใช้ในงานที่ต้องใช้คำสั่งที่หลากหลาย แยกแยะคำสั่งได้ดี แต่ก็มีปัญหาตามสัญชาติญาณเช่นกันครับ นั่นคือเขาเป็นสุนัขที่ต้องการกิจกรรมทำมากๆ ถ้าเจ้าของไม่มีเวลาให้ ปล่อยให้อยู่เฉยๆ มักจะมีอาการชอบไล่กัดข้อเท้าคนครับ เพราะตามสัญชาติญาณของพวกนี้เวลาต้อนสัตว์แล้วสัตว์ไม่เชื่อก็จะกัดไปที่ข้อเท้า

    - พวก guard dog หรือพวกสุนัขยาม พวกนี้ถูกเพาะขึ้นเพื่อเฝ้าทรัพย์สิน ดังนั้นตามสัญชาติญาณก็จะค่อนข้างหวงถิ่นฐาน และไม่ชอบเล่นกับคนแปลกหน้ามากนัก ถ้าเลี้ยงไม่ถูกวิธีก็คงไม่ต้องยกตัวอย่าง เพราะเราก็เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ เรื่องร็อตไวเลอร์กัดเด็ก

    - ส่วนพวก wolfdog หรือพวกลูกครึ่งสุนัขป่า กับสุนัขบ้าน พวกนี้ถือเป็นพวกที่ค่อนข้างอันตรายต่อผู้เลี้ยงที่สุด ถูกเพาะขึ้นเพื่อจุดประสงค์ว่าอยากได้สุนัขที่มีลักษณะภายนอกเป็นสุนัขป่า แต่เชื่อฟังแบบสุนัขบ้าน แต่ผลที่ออกมาคือสุนัขพวกนี้ต้องการคนที่เข้าใจในพฤติกรรมของสุนัขมากๆ และมีประสบการณ์การฝึกสุนัขมาก่อนเป็นอย่างดี เพราะสัญชาติญาณทางสุนัขป่าของเขายังมีอยู่มากครับ เช่นเวลาไม่มั่นใจอะไรแล้วเราไปยุ่งก็จะกัด , ต้องการการจัดลำดับในฝูงอย่างชัดเจน เจ้าของจึงต้องทำตัวให้เป็นจ่าฝูงเขาให้ได้ และต้องทำตลอดเวลาเพื่อป้องกันการท้าทายตำแหน่งจ่าฝูง เหมือนในฝูงสุนัขป่าทำกันเสมอๆ หรือแม้แต่ลูกสุนัขเกิดใหม่ก็จะหูตั้งเลยแบบสุนัขป่า ไม่มาตั้งภายหลังแบบสุนัขบ้าน แต่เรื่องลักษณะต่างๆ ทางกายภาพ จะแข็งแรงครับ โรคข้อสะโพก โรคทางพันธุกรรมจะไม่ค่อยเป็น เพราะยีนส์ทางสุนัขป่าจะไม่มีโรคพวกนี้


    ส่วนสุนัขไทยหลังอาน ผมคิดว่าเขาเองก็มีลักษณะรักอิสระ ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้เก่ง และสามารถเอาตัวรอดได้ด้วยตัวเองเช่นการจับสัตว์มากิน แต่เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ธรรมชาติที่มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้น ดังนั้นการเชื่อฟังคำสั่งมนุษย์ก็อาจจะไม่ตอบสนองได้ดีเท่าสุนัขต่างประเทศหลายสายพันธุ์ครับ


    นี่ก็มุมมองส่วนตัวของผมครับ
  • :o030:ขอบคุณมากครับ คุณnol ที่ให้ความรู้ครับ
  • คุณนลครับ

    ช่วยคาดเดาอนาคต อเมริกันพิทบลู ให้ฟังหน่อย ในสายตาของคุณเอง มันจะกลายร่างเป็นพันธุ์ใหม่มีโอกาศได้รึเปล่า
    เท่าที่ติดตาม มีสายต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยมนุษย์ หาใช่โครงสร้างที่กำหนดถูกต้องโดยธรรมชาติของสายพันธุ์

    และอีกเรื่องครับ คิดว่า อเมริกัน พิทบลู ในไทยเรา ถึงจุดใหนครับ ขาขึ้น หรือ ลงครับ
  • พิทบูลเป็นสุนัขที่มาตรฐานสายพันธุ์เปิดกว้างไว้ค่อนข้างมากครับ เหตุเพราะผมว่าสมัยก่อนเขามีเอาไว้เพื่อกัดกัน ซึ่งสุนัขที่เอาไว้กัดกันนั้น ถือเอาผลงานมากกว่ารูปลักษณ์ ดังนั้นเมื่อมีการต้องกำหนดมาตรฐานสายพันธุ์ขึ้นมาแล้ว ก็เลยกำหนดเอาไว้ค่อนข้างหลวมเช่น สูงเท่าไร หนักเท่าไรก็ได้ , สีอะไรก็ได้ , หูจะตัดหรือไม่ตัดก็ได้ , ฯลฯ (ถ้ามีโอกาสลองไปหาอ่านดูครับทั้งมาตรฐานของอเมริกัน พิทบูลของ UKC และ ADBA ผมว่าถ้าคนอ่านไม่เคยเห็นอเมริกัน พิทบูล เทอร์เรียมาก่อน อ่านแล้วได้แต่จินตนาการเอา รูปร่างจากการจินตนาการมันก็คล้ายกับสุนัขไทยพันทาง ที่เราเห็นวิ่งๆ อยู่นี่แหละครับ)


    จากการที่มาตรฐานสายพันธุ์ที่กว้างเช่นนี้ทำให้ผลคือเกิดสุนัขที่มีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันออกไป โดยมาตามกลไกของตลาด สมัยแรกสุนัขขนาดปกติที่มีรูปร่างแบบนักกีฬาก็เป็นที่นิยมมากที่สุด จนอยู่ดีๆ ก็มีคนคิดแปลกๆ ลองทำให้ตัวมันใหญ่ขึ้นกว่าปกติ คนก็ชอบเพราะมันดูแปลกกว่าพิทบูลทั่วไป (อาจดูแล้วเหมือนพวกสุนัขมาสทีฟในร่างพิทบูล) ทำให้สมัยหนึ่งพวกยักษ์ใหญ่แบบนั้นเป็นที่นิยม เวลาผ่านมาจนมีการคิดค้นแบบบูลลี่ขึ้น คนก็ชอบอีกเพราะมันดูแปลกตา ตัวหนาได้จากพันธุกรรมไม่ต้องมาฟิตมาอัดอาหารให้เสียเวลา (เหมือนบูลด็อกในคราบพิทบูล) ก็ทำให้พวกสไตล์นี้กำลังเป็นที่นิยมครับ


    ส่วนในอนาคตนั้น ผมก็คิดว่ามันน่าจะกลายไปอีกครับ จะเริ่มกลายไปในแนวทางเหมือนๆ พวกบูลด็อกมากขึ้น เหมือนในสมัยโบราณบูลด็อกเป็นสุนัขแกร่งที่ใช้ต่อสู้กับวัว แล้วจากนั้นคนก็พยายามพัฒนาให้ตัวเล็กมากขึ้น หน้าสั้นมากขึ้น จนกลายมาเป็นบูลด็อกในปัจจุบันที่ไม่สามารถนำมาใช้งานได้อีกแล้ว ผมเองมองว่าพิทบูลกำลังเดินไปในทางนั้นครับ แต่ก็ยังดีที่ตอนนี้พวกสุนัขบูลลี่เอง เขาก็มีสมาคมของเขา และพยายามจะแยกตัวออกไปจากพิทบูล โดยไปใช้เป็นสายพันธุ์ อเมริกัน บูลลี่ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นผมว่าดีกว่า เพราะถ้าในอนาคตแยกออกเป็น ๒ สายพันธุ์อย่างชัดเจนแล้ว การผสมข้ามกันก็จะไม่เกิด (เหมือนพันธุ์ Norwich Terrier กับ Norfolk Terrier หรือพันธุ์บูลเทอร์เรีย กับ มินิเจอร์ บูลเทอร์เรีย) แล้ว ๒ สายพันธุ์ก็จะพัฒนาไปในแนวทางของตัวเองครับ ไม่ใช่แบบเก่าโดนพัฒนามาเป็นแบบใหม่จนแบบเก่าสูญพันธุ์ไปหมด แต่แบบเก่าก็จะพัฒนาในแนวทางเดิมๆ เช่นเอามาลากน้ำหนัก เอามาทำกิจกรรม ส่วนอเมริกัน บูลลี่ก็พัฒนาไปในแนวเลี้ยงเล่นเป็นเพื่อน ซึ่งอาจจมีขาหน้าที่โก่งมากขึ้น ก้นที่โด่ง หน้าที่สั้นขึ้น หัวโตมากขึ้น อะไรพวกนี้ครับ


    ส่วนวงการพิทบูลบ้านเรา ก็เหมือนเดิมครับ อย่างแรกคือทะเลาะกันอย่างไร ผมว่าก็จะทะเลาะกันไปอย่างนั้น


    สำหรับในกรณีของสุนัข ผมว่าเนื่องจากปัจจุบันนี้คนเลี้ยงกันมากขึ้น ซื้อขายกันถูกลง ทำให้สุนัขไปอยู่ในมือของผู้เลี้ยงที่ไม่มีความรู้ ไม่มีความรับผิดชอบมากขึ้นครับ ทำให้เป็นอันตรายต่อสายพันธุ์เพราะผู้เลี้ยงเหล่านี้คงไม่ค่อยสนใจดูแลสุนัขตัวเองเท่าไร ถ้าเกิดหลุดออกไปกัดคนอื่นอีกหลายๆ ครั้ง อาจจะโดนสั่งห้ามเลี้ยง ห้ามมีครอบครองในเมืองไทยก็ได้นะครับ เพราะต้องยอมรับว่าพิทบูลคือสุนัขอันตราย แต่การครอบครองนั้นดันมีกันง่ายมากเลย ซึ่งมันสวนทางกับหลักทั่วไป อะไรที่อันตรายต้องมีการครอบครอง การเป็นเจ้าของที่ยาก เพื่อคัดสรรคนที่ครอบครองจริงๆ ยกตัวอย่างว่าถ้าปืนเป็นสิ่งที่ใครก็เดินไปหาซื้อกันได้ในห้าง ในราคากระบอกละไม่กี่พันบาท ผมว่าการฆ่าฟันกัน อุบัติเหตุจากปืนก็จะมีเพิ่มขึ้น หรือเสือโคร่ง ถ้าใครก็เอามาเลี้ยงได้ แบบนี้วันดีคืนดีคงจะมีข่าวว่าเพื่อนบ้านก็คงจะโดนกิน หรือสมาชิกในครอบครัวก็โดนกินไป อะไรทำนองนี้ครับ สิ่งเหล่านี้เขาถึงต้องมีการขอใบอนุญาตครับ ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบว่าถ้ายังคงเลี้ยงกันแบบนี้ ซื้อขายกันแบบนี้ ต่อไปอนาคตจะเป็นอย่างไรครับ แต่ดูแล้วไม่ค่อยสดใสเท่าไร

    :015:
  • ติดตามมาตลอด
    ถ้าว่างๆ โอกาศต่อไป จะขอถามอีกครับ
    ขอบคุณมากครับ สำหรับทุกๆ ความรู้ และสาระดีๆ ของคุณ นล ที่ยังหลงเหลือในบอร์ด นี้อีกท่านครับ
  • จัดให้ดูคับเเต่ไม่ใช่พิทบูลนะ เเต่เป็นบางเเก้วกับไทยหลังอาน55+เหมือนพิทบูลนิดๆ