ยินดีต้อนรับครับ

ขอแนะนำให้ทุกท่าน สมัครสมาชิก เพื่อป้องกันการแอบอ้างชื่อครับ

Mark Mafia

ต่างมุม หลวงพ่อ เกษม อาจิณณสีโล
  • ผมขอมองต่างมุมจากเพื่อนๆอยากให้เพื่อนมองที่แก่นธรรมที่ท่านนำเสนอ ถึงแม้วิธีที่ท่านนำเสนออาจจะพระองค์อื่น

    ขอเล่าถึงท่าน เท่าที่ได้พบเห็นด้วยตัวเอง จากการได้ไปกราบท่าน 3 ครั้งเมื่อปีก่อนโน้น

    ก่อนไป พรรคพวกที่พาไป กำชับไว้ก่อนว่า ให้ทำใจนะ เพราะท่านไม่เหมือนพระทั่วๆไป

    (แต่มีคนเคารพศรัทธากันไม่น้อยเลย)

    พอพบท่านหนแรก ท่านประกาศเปรี้ยงว่า ท่านไม่"สอน" หรือ"เทศน์" ธรรมะ(อ้าวววว!!!!)

    แต่ท่านจะใช้วิธี "แสดง" ธรรม แล้วท่านก็ "แสดง" ตลอดด้วยการกระทำ อากัปกริยาต่างๆนานา

    เช่น ท่านถามว่า ญาณ แปลว่า อะไร

    กำแพงลมตอบด้วยความมั่นใจ(ผ่านวัดและการฝึกฝนมาหลายนิกายแล้ว แหะ แหะ)ว่า

    แปลว่า "ปัญญา"

    ท่านไม่ตอบ แต่ชี้ไปที่ประตูศาลาด้านหลัง ทำท่าตื่นเต้นเหมือนมีอะไรบางอย่างที่เกิดกระทันหัน

    ญาติโยมทุกคนในศาลาหันขวับไปที่ประตูพร้อมๆกัน

    แล้วก็ต้องหันขวับกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินเสียงดังของหนักๆ ประมาณว่าพวงกุญแจพวงใหญ่ตกลงบนพื้นที่ท่านนั่งอยู่

    ท่านถามว่า เมื่อกี้เสียงอะไรน่ะ??? ทุกคนตอบได้ว่า เสียงของหนักๆตกครับ

    ท่านบอกว่า รู้ได้ไง? ไม่เห็นไม่ใช่เหรอ? แล้วเฉลยว่า ความรู้เองนี้แหละคือ "ญาณ"

    จากนั้นก็เลยทึ่ง ยอมมองข้ามกริยาประหลาดๆ ไม่สำรวม ของท่าน

    รับฟังท่าน"แสดง"ธรรม โดยเฉพาะคือ เรื่องการอุทิศบุญ

    (ลูกศิษย์มากมายหายจากโรคภัยไข้เจ็บที่เรื้อรัง ผ่านการรักษามาจากหมอดังๆมาแล้ว )

    จับได้ว่า ท่านต้องการให้ชาวพุทธยึดถือแต่เพียง"คำสอน"ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

    ให้ปฏิเสธเรื่องเครื่องรางของขลัง เรื่องพิธีกรรม เรื่องยึดติดในพระพุทธรูป

    จนเคยเป็นข่าวดังมาแล้วครั้งหนึ่ง ออกทีวีตอนเย็นติดๆกันหลายวัน

    เรื่องท่านเตะพระพุทธรูปองค์งาม องค์ใหญ่ในวัด ซึ่งก็คือพระุพุทธชินราช ที่ลูกศิษย์ที่่พิษณุโลกนำมาถวาย

    ลูกศิษย์โกรธมาก เอารถหกล้อมาขนพระพุทธชินราชคืน และไปแจ้งความ ตำรวจมาสอบปากคำต่างๆนานา

    จนถึงขั้นว่าจะต้องจับสึก แต่เราคิดในใจอยู่แล้วว่า สุดท้ายก็สึกไม่ได้ เพราะท่านไม่ได้ทำอะไรผิดวินัย

    ท่านเพียงแต่ยึดถือทุกคำจากพระไตรปิฏก ที่ท่านบังคับเคี่ยวเข็นให้ชาวพุทธอ่าน

    ยิ่งตำรวจที่เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด เห็นและเข้าใจพฤติกรรมท่านมาตลอด มีแต่จะขำ

  • ขอโทษจะบอกว่า สิ่งที่ท่านทำนั้นมันไม่สำร่วมเอาเลย ในทางพุทธศาสนา แต่จะเป็นนิกายอื่น หรือศาสนาอื่น อันนั้นอีกแบบหนึ่ง แต่ที่ดูนั้นมันไม่ใช่ศาสนาพุทธ เพราะคำสอนศาสนาพุทธกับที่แสดงออกมานั้น คนละเรื่องกันเลย ในเมื่อเราคิดว่า เราปฎิบัติตามไม่ได้ ก็ไม่สมควรบวชเข้าไป เพราะคนเป็นพระเข้าไปบวชเรียน ปฎิบัติธรรม ย่อมมีคนนับหน้า ถือตา และย่อมมีคนกราบไหว้ บูชา มันจะต้องทำให้ถูกต้องตามหลักการ อันนี้ หน้าเกลียดมาก ไม่น่าจะเป็นพระในพระพุทธศาสนาเลย แย่
  • คนธรรมดาพูดคำว่า หน้าห...หน้าต...ใครก็ต้องว่าถ่อยสถุน นี่เป็นพระแท้ๆเฮ้อ เสื่อมสุดๆ สุดจะบรรยาย
  • เเล้วถ้าชาวต่างชาติมาเห็นเค้าจะว่ายังไง
  • ขอพูดแบบกลางๆนะคะ
    สมัยก่อน พระพุทธเจ้า ท่านสอนโดยใช้พระธรรมเป็นเครื่องปฏิบัติ
    ท่านสอนให้ทุกคนยึดหลักความเป็นจริง คือทุกสิ่งมีเหตุ มีผล ท่านสอนให้ทุกคนเดินสายกลาง ใช่ใหมคะ

    พระเกษมท่านอาจจะสอนในแบบของท่านที่ท่านคิดว่าถูก และไม่ได้ทำผิดตรงไหน
    แต่ ถามว่าจำเป็นถึงข้ึ้นต้องใช้ความรุนแรงในการสอนหรอคะ และจำเป็นต้องเตะพระพุทธรูปด้วยหรอคะ

    ความจริงพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่เคยสอนให้ศาสดาของท่านไปเตะพระศาสนาอื่นเลยใช่ไหมคะ...



  • เคยบวชเรียนมาครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะไม่นาน
    จำได้ว่าถูกพระพี่เลี้ยงดุว่า เรื่องฉันท์อาหาร
    ไม่สำรวม อาการสำรวมเป็นหนึ่งในศีล227ข้อ
    ที่พึ่งปฏิบัติ ถือเป็นสมบัติผู้ดี เนื่องจาก
    พระพุทธเจ้าสืบเชื้อสายจากกษัตริย์ การที่
    พระสงษ์รูปนี้ไม่ปฎิบัติตนตามที่พระพุทธเจ้า
    ได้กำหนดไว้แม้ว่าจะสอนดีหรือเทศนาดีก็
    เป็นได้แค่นักพูดเท่านั้น
  • พบวัดพิลึก! ห้ามไหว้พุทธรูป

    เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ภายหลัง นสพ.ไทยรัฐ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนที่ไปทำบุญที่วัดสามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ว่า ทางวัดห้ามชาวบ้านกราบไหว้ พระพุทธรูปแถมยังติดป้ายข้อความไว้หน้าองค์พระอย่างไม่เหมาะสม กลายเป็นที่ฮือฮาของชาวบ้านทั้งในและพื้นที่ใกล้เคียง จ.เพชรบูรณ์

    ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง พบเป็นวัดอยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบูรณ์ประมาณ 150 กม. ทางเข้าวัดเป็นลูกรังขรุขระ ระยะทางกว่า 13 กม. ด้านหน้าวัดมีป้ายขนาดใหญ่เขียนแจ้งให้ผู้ที่เข้ามาภายในเขตวัดอ่านและปฏิบัติตามกฎข
    องวัดอย่างเคร่งครัดหลายสิบข้อ ก่อนเข้าวัดมีเหล็กกั้นขวางทางเข้า-ออก ลักษณะเป็นเหล็กแป๊บยาวที่ใช้กั้นทางเข้าเขตหวงห้ามทั่วไป ภายในวัดมีโรงธารขนาดใหญ่ ศาลาการเปรียญสองชั้น 1 หลัง ในศาลามีกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้จับภาพผู้ที่เข้ามาภายในวัด บริเวณด้านหลังวัดมีกุฏิพระหลังเล็กๆอยู่ล้อมรอบหลายหลัง แต่ไม่มีโบสถ์วิหารเหมือนวัดทั่วไป รวมทั้งห้ามถ่ายภาพนิ่งภายในเขตวัดและบริเวณสงฆ์

    ส่วนหน้าศาลาการเปรียญมีป้ายข้อความเขียนอย่างเด่นชัดว่า "ตามที่ข้าฯสอนคำพุทธองค์ยังพึ่งมนต์ การปลุกเสกเครื่องรางฯ รูปเคารพ ถ้าอยากฟัง สิ่งที่ข้าฯพูดให้ได้ประโยชน์ ควรนำสิ่งเหล่านั้นออกให้พ้นจากความคิด แล้วมาฟังถามปัญหากับข้าฯ ใครทำไม่ได้อย่ามา เสียเวลาเหนื่อยเปล่าๆ ทั้งคนพูดและคนฟัง ขอยืนยันคำพุทธแท้ท่านไม่ให้พึ่งสิ่งเหล่านั้น ใครพึ่งถือว่าเป็นชาวพุทธสกปรก" ลงชื่อ พระเกษม อาจิณณสีโล

    อีกป้ายมีข้อความว่า "เมื่อข้าฯเทศน์ให้ผู้พึ่งมนต์ เครื่องรางของขลังฟัง ข้าฯเหนื่อย หงุดหงิด ไม่สบายใจ รู้สึกไม่ดี เมื่อไม่พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง ไม่ต้องมาฟังข้าฯเทศน์ ข้าฯเหนื่อยโดยเปล่าประโยชน์ เพราะผู้มีเครื่องรางของขลัง ของอย่างนี้ฟังไม่เข้าใจ" นอกจากนี้ ในศาลาการเปรียญยังมีข้อความคำสอนที่อ้างอิงจากพระไตรปิฎกติดไว้ตามเสาศาลาการเปรียญ
    จำนวนมาก และพบพระพุทธรูปทองเหลืองคล้ายพระพุทธชินราช สูงประมาณ 150 ซม. หน้าตักกว้าง 90 ซม.ตั้งอยู่บนแท่นมีป้ายข้อความ 2 แผ่นวางไว้หน้าองค์พระ ป้ายแรกวางระบุว่า "ห้ามนำดอกไม้และเครื่องบูชามาวางไว้บริเวณนี้" ส่วนอีกป้ายวางไว้ตรงฐานพระเขียนว่า "ทองเหลืองหล่อนี้ ไม่ใช่พุทธเจ้าแน่ ไม่ต้องกราบมัน"

    สอบถามทราบว่า เจ้าอาวาสวัดนี้ชื่อ พระเกษม อาจิณณสีโล อายุ 48 ปี ถึงเหตุผลที่ต้องปิดป้ายห้ามกราบไหว้พระพุทธรูปจนกลายเป็นเรื่องฮือฮาในหมู่ชาวพุทธ ได้รับการชี้แจงว่า หากใครไม่ยินดีที่จะรับฟังคำสอนก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางมา เพราะวัดนี้ได้ยึดตามแนวพระไตรปิฎกทั้งสิ้น โดยไม่ยึดถือตำราใดๆ และการมีวัตถุมงคลนั้นถือเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงแก่นของพระพุทธศาสนา หากผู้ใดไม่นำสิ่งของวัตถุมงคลทั้งพระพุทธรูป ตะกรุด พระห้อยคอต่างๆออกจากตัวและบ้านพักเคหสถาน แล้วก็ไม่ต้องเข้ามาที่วัดแห่งนี้ เพราะที่วัดสอนอย่างมีหลักการและเหตุผลสำหรับคนที่เปิดประตูรับเท่านั้น และจะต้องไม่ติดยึดกับวัตถุมงคลเพราะเป็นพุทธพาณิชย์
  • พระเกษมยังกล่าวอีกด้วยว่า การสอนธรรมะก็เช่นกัน ในพระไตรปิฎกได้บัญญัติไว้ว่าให้สอนธรรมะด้วยภาษาท้องถิ่น การสวดเป็นภาษาบาลีให้คนไทยฟังโดยไม่มีความเข้าใจในความหมายนั้นจะไม่ก่อให้เกิดความ
    เข้าใจอย่างถ่องแท้ ก่อนหน้านั้นผู้ที่มีความรู้หรือการศึกษาระดับสูงเคยเข้ามาที่วัดครั้งแรกก็ไม่เข้าใ
    จในแนวทางนี้ แต่เมื่อได้รับหนังสือของวัดไปศึกษาก็บังเกิดความเข้าใจและกลับไปนำพระพุทธรูปออกจาก
    บ้าน นำพระเครื่องออกจากคอและหันกลับมาศึกษาในพระไตรปิฎกซึ่งเป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนาอย่า
    งแท้จริง "อาตมาไม่ได้มุ่งหวังจะให้ทุกคนต้องเข้ามาตามแนวทางนี้ หากมา 10 คนสามารถเข้าถึง 1 คน หรือหากมา 100 เข้าถึง 5 คน ก็ไม่เป็นไร ได้เท่าไรก็เท่านั้นเพราะขึ้นอยู่กับการเปิดรับของแต่ละบุคคล แม้มีเพียง 5 คนที่เข้าใจก็จะสอนให้ เท่านั้น" พระเกษมกล่าว


    จากการสอบถามลูกศิษย์คนหนึ่งของพระเกษม กล่าวว่า คำสอนของพระเกษมไม่ให้ติดยึดกับเครื่องรางของขลัง ก่อนหน้านั้นที่บ้านของตนมีพระพุทธรูปและพระเครื่องที่ได้มาจากบรรพบุรุษ แต่พอได้ฟังธรรมจากพระเกษมที่สอนว่าในพระไตรปิฎก ไม่ได้กล่าวถึงการสร้างวัตถุมงคล หรือพระพุทธรูป ถือเป็นสิ่งงมงายกับวัตถุที่อุปโลกน์กันขึ้นมา แถมยังทำให้จิตใจผูกติดอยู่กับสิ่งนั้น ไม่เข้าใจถึงแก่นของพระธรรม คำสอนของพุทธเจ้าได้ พระอาจารย์สอนว่า ที่ผ่านมาเราเชื่อและกราบไหว้พระพุทธรูป ก่อนตายให้นึกถึงคุณพระเอาไว้ ทำให้จิตของคนที่กำลังจะตายติดอยู่ในพระพุทธรูปองค์แล้วเราก็นำมา กราบไหว้โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังไหว้วิญญาณของคนที่ตายไป ที่ถูกควรระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ใช่มายึดถือกราบไหว้พระพุทธรูป


    ลูกศิษย์พระเกษมกล่าวอีกว่า วัดสามแยกเคยได้รับบริจาคพระพุทธรูป วัตถุมงคลจำนวนมาก หลังรับมาแล้ว พระอาจารย์จะขุดหลุมนำพระพุทธรูปและวัตถุมงคลต่างๆวางในหลุมแล้วราดด้วยน้ำกรดผสมเกล
    ือเพื่อให้ผุพังและฝังกลบทิ้งทันที เหลือแต่พระพุทธรูปทองเหลืองเพียงองค์เดียวที่ทางวัดเก็บไว้ให้เป็นการเตือนสติ ไม่ให้ยึดถือโดยเขียนป้ายห้ามกราบไหว้ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งคำสอนไม่ให้ติดยึดกับวัตถุมงคลอาจจะแตกต่างจากวิถีชีวิตของพุทธศาสนิกชนทั่วไป แต่ที่จริงแล้วก็เหมือนกัน เพราะดำเนินการไปตามแนวทางของพระไตรปิฎกอย่างเคร่งครัด


  • ด้านนายอินทภร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักพระพุทธศาสนา จ.เพชรบูรณ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ได้รับการร้องเรียนมาหลายเดือน ได้ส่งเรื่องถึงพระวิสุทธินายก เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ ฝ่ายธรรมยุตไปแล้ว เพื่อดำเนินการไปตามขั้นตอนของสงฆ์ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่าสถานที่แห่งนี้เป็นเพียงที่พักสงฆ์ไม่ใช่วัด ส่วนการห้ามกราบไหว้พระพุทธรูปนั้นอาจไม่เหมาะสม


    ต่อมาผู้สื่อข่าวได้สอบถามพระวิสุทธินายก เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ฝ่ายธรรมยุตถึงเรื่องเดียวกันได้รับการเปิดเผยว่า เรื่องร้องเรียนพระเกษมที่ได้รับมาครั้งแรกเป็นเรื่องห้ามชาวบ้านแขวนพระเครื่อง และได้ให้เจ้าคณะอำเภอไปว่ากล่าวตักเตือนแล้ว ส่วนเรื่องห้ามกราบไหว้พระพุทธรูป หรือทำลายพระพุทธรูปนั้นยังไม่ทราบเรื่อง ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน "พระเกษมเป็นคนที่เถรตรงเกินไป เรื่องบางเรื่องไม่เหมาะสมก็ทำ อย่างเรื่องการโอนบุญให้เชื้อโรคก็ไม่เคยมีในศาสนาพุทธ แต่กลับทำกัน เรื่องนี้ต้องขอตรวจสอบก่อน" เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์กล่าว



    ที่มาจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
  • คิดซะว่าเรากราบไหว้ผ้าเหลือง เพราะเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยคือศาสนาพุทธ
    คนไทยถ้ามีโอกาสก็อยากใส่บาตร ทำบุญทำทาน เราสบายใจมีความสุข เพราะเราเป็นชาวพุทธ
    อย่าเพิ่งท้อแท้ในตัวบุคคลแต่อยากให้เชื่อมั่นในสถาบันศาสนา พระที่น่าเลื่อมใสมีมากมาย
    อย่าให้ปลาเน่าไม่กี่ตัวทำลายความรู้สึกศรัทธาในพระพุทธองค์เลยค่ะ
  • คำว่า "กราบไหว้ผ้าเหลือง" เป็นคำที่โบราณพูดไว้ปลอบใจตัวเอง
    หลังจากผิดหวังกับจริยวัตรของพระที่ตัวเองเสื่อมใสไม่งดงามหรือผิดวินัย
    ตามหลักศาสนาพุทธ แนวทางปฏิบัติคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    เรากราบไว้พระสงฆ์ เพราะศีลที่มากกว่า เพราะสมาธิคือการสำรวมกาย วาจา ใจ เพราะปัญญารู้แจ้งถึงอริยสัจจ์4

    ชาวพุทธ เคยผิดหวังกับ สมีวินัย สมียันตระ สมีภาวนาพุทโธ เพราะยึดติดและเลื่อมใสที่ตัวบุคคล
    สำหรับเรื่องที่เกิด ถ้าท่านๆทั้งหลาย รู้จัก"พระเทวทัต" คงไม่ต้องถกเถียงกันวุ่นวาย
    บางทีการหันหน้าศึกษาความรู้เกี่ยวกับ"พระพุทธศาสนา"น่าจะเป็นสิ่งสำคัญกว่าการพูดจาหรือรับฟังจากผู้อื่น
  • ขอเปรียบเทียบนิดหนึ่งนะคะ ดิฉันรับราชการครู มีหน้าที่ มีจรรยาบรรณในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ถ้าวันหนึ่งดิฉันเกิดสั่งสอน ลูกหลาน โดยมีเทคนิคที่เหมือนพระดังกล่าว ผู้ปกครองจะรับได้ไหมคะ? ทั้งที่ดิฉันมีความเป็นเลิศทางวิชาการที่จะถ่ายทอดมากมาย :014: ฉันใด ก็ฉันนั้นล่ะค่ะ
  • คณะสงฆ์มีมติ ให้ พระเกษม ออกจากเพชรบูรณ์.

    รักษาการผอ.สำนักงานพระพุทธฯเพชรบูรณ์ เผยเจ้าคณะจังหวัดมีมติแจ้งให้ พระเกษม ออกจากพื้นที่เพชรบูรณ์ หลังโพสต์คลิปฉาว
    (21 ก.ย.) จากกรณีคลิปวิดีโอการแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมของ พระเกษม อาจิณณสีโล เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ สามแยก อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ โดยถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ยูทูป จนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์ ซึ่งต่อมา พระเกษม ยอมรับว่าเป็นคนโพสต์คลิปวิดีโอดังกล่าวด้วยตัวเอง เพื่อตอบโต้พระผู้ใหญ่รูปหนึ่งในจังหวัดที่หาว่า พระเกษม อยากดัง ตามที่ได้มีการเสนอข่าว
    ล่าสุด(21 ก.ย.) นายวิโรจน์ ไผ่ย้อย รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า ได้หารือกับทางคณะสงฆ์ ซึ่งประกอบไปด้วย เจ้าคุณวิสุทธินายก เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ฝ่ายธรรมยุต และเจ้าอาวาสวัดสนธิการาม แล้ว โดยคณะสงฆ์มีมติแจ้งให้พระเกษม ออกจากพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ เหมือนเมื่อครั้งเกิดเรื่องฉาวในปี 2551 ซึ่งทางสงฆ์ทำได้แค่แจ้งให้ออกจากพื้นที่เท่านั้น และตามธรรมเนียมปฏิบัติ พระสงฆ์ที่ถูกแจ้งจะต้องดำเนินการตามมติคือเดินทางออกจากพื้นที่ทันที แต่กรณีพระเกษมนั้นไม่ปฏิบัติตาม และยังคงพำนักอยู่ในที่พักสงฆ์เช่นเดิม
    ด้านชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ภายหลังพระเกษมถูกดำเนินคดีเมื่อปี 2551 ทำให้ปัจจุบันการเข้าพบถึงตัวพระเกษม จะต้องได้รับอนุญาตจาก ผู้ดูแลเสียก่อน อีกทั้งยังมีการติดป้ายห้ามอย่างชัดเจน เช่น "ถ้ามีพระ, เณร, ชี คนไหนมาวัดสามแยกให้โยมวัดถามหาธุระ ถ้าไม่มีธุระที่ชัดเจน อย่าปล่อยให้มาพบเราโดยไม่จำเป็น" ลงชื่อ พระเกษม อาจิณณสีโล และป้ายไม่รับบริจาค ข้อความว่า "วัดสามแยกไม่รับเงินบริจาคของภิกษุ, สามเณร, ชี รวมทั้งเงินสงฆ์ของวัดอื่นด้วย และไม่รับสิ่งของใดๆ ที่ซื้อด้วยเงินของภิกษุ, สามเณร, ชี และเงินสงฆ์ของวัดอื่นโดยประการทั้งปวง".

    "เป็นแบบนี้แล้วมาบวช เป็นพระทำไม วัดไม่ใช่บ้านส่วนตัวสักกน่อย"
  • “บวชหนีสงสาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน”
    … หรือ “อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารโทรม”
    … หรือ “บวชตั้งอกตั้งใจบวชได้เรื่อง บวชหลบราชการหนักบวชยักเยื้อง บวชหาเฟื้องหาไพบวชไม่ตรง”
    ... หรือ "คิดก่อนบวช คิดระหว่างบวช คิดหลังบวช"

    การประพฤติผิดจริยวัตร การขับไล่ออกจากหมู่คณะสงฆ์ เป็นโทษสมควรทางวินัย
    การทำให้เกิดการแตกแยกในคณะสงฆ์ เป็นสังฆาทิเสส
    แต่ถ้าอวดอ้างบุคคลคุณธรรมวิเศษ ถือว่า อวดอุตริฯ เป็นปาราชิก ให้สึกจากการเป็นพระ

    แต่ละคนมีหน้าที่เป็นของตน
    หน้าที่ต่อตนเอง หน้าที่ต่อส่วนรวม
    คนที่ทำหน้าที่ต่อตนเองได้ดี ตัวเองก็จะดีขึ้น
    คนที่ทำหน้าที่ต่อส่วนรวมได้ดี สังคมก็จะดีขึ้น..

    เรื่องแบบนี้ .. ควรใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์
    ใช้วิจารณญานและเหตุผล พิจารณาตัดสินใจจะได้ทางออกที่ดีครับ
  • อย่าว่าท่าน ท่านมีแนวทางการสอนของท่าน
    แต่หลัก ๆ ท่านก็สอนตามหลักคำสอนของพระศาสดา
    เพียงแต่วิธีการถ่ายทอดอาจขัดต่อความรู้สึกของสังคม
    สำหรับผม..อยากสนับสนุนให้ท่านจัดตั้งลัทธิใหม่เอง
    แต่ใช้หลักคำสอนของพระศาสดา ซึ่งเป็นการเผยแพร่
    ศาสนาอีกทางหนึ่ง
    โดยให้ออกแบบเครื้องแต่งการใหม่ ซะ จะได้ไม่ต้องเรียกว่าพระสงฆ์
    ท่านอาจจะเรียกนักพรตก็ได้ หรือผู้ปฏิบัติธรรมก็ได้ หรือผู้แสวงหาทางหลุดพ้น
    อย่างหลายท่าน ที่เป็นชาวต่างชาติ ที่ปฏิบัติตามแนวทางพุทธ
    หรือผสมผสาน เซน ขงจื้อ
    หลายท่านที่ตำหนิ ก็ยังไม่สามารถปฏิบัติได้อย่างท่าน
    หรือคนที่ชื้นชม ก็อาจจะหลงในคำพูด หน้ามืดตัวมั่ว
    แต่สุดท้ายก็ย่อมรักและศรัทธาในพุทธศาสนาเหมือนกัน
    จุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่แสวงหาและปฏิบัติไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง

    ขอโทษนะครับ เป็นความเห็นส่วนตัวนะคับ

  • ความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมเชื่อในพุทธวจน (คำสอนที่มาจากปากพระพุทธเจ้า) ไม่ใชคำสอนจากสาวก ที่ถูกปรุงแต่งตามลัทธิ นิกาย แต่ก็ไม่ผิดนี่ ที่เราจะเลือกว่าจะเชื่ออย่างไร
    ไฟล์แนบ
    1.jpg 286K
    2.jpg 231K
    3.jpg 254K
    4.jpg 250K
  • มีการ์ตูนมาให้อ่านเล่นครับ ไม่รู้ว่ารูปใหญ่ไปมั้ย
    imageimageimageimage
    ไฟล์แนบ
    1.jpg 286K
    2.jpg 231K
    3.jpg 254K
    4.jpg 250K
  • ผมว่าผมเข้าใจที่พระท่านเปรียบเทียบเรื่องพระพุทธรูปนะครับแต่ที่เราไม่พอใจเพราะเรานับถูกสอนให้กราบไหว้
    พระพุทธรูปมาตังแต่เด็ก และถูกบอกมาตั้งแต่เด็กว่าเราต้องกราบไหว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงค์ จึงจะได้บุญเพราะเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า แต่คุณเคยคิดไหมว่าเราเห็นพระเครื่องจากแทนปั้มพระ เห็นพระพุทธรูปที่ตั้งขายอยู่ร้านขายเราควรไหว้ไหมหรือเป็นแค่ปูนแค่ดิน หรือเราจะรอไหว้หลังจากทำพิธี พระองค์อื่นอาจจะ สอนว่าอันนี้คือกระดาษนะ ไม่ช่ายเงินอย่าได้ไปขโมยไปโลภ ไอ้ตอนไม่ยังไม่พิมก็คือกระดาษ พิมแล้วก้อคือกระดาษรัฐรับรองแล้วก้อคือกระดาษ เพียงแต่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเอง ตามพระท่านบอก ท่านจะสื่อให้เราเห็นว่าไม่ให้เรายึดติดกับสิ่งที่เห็น ยึดติดกับรส รูป กลิ่น เสียง ให้ตัดละวาง ทางโลก
    ผมไม่ชอบหน้าเนื้อใจเสือ ผมชอบปากร้ายแต่ใจดี(อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ)
  • ผมว่าเสื่อม คับ จะเปรียบ ยังไง ก้อไม่เหมาะ ..........