ยินดีต้อนรับครับ

ขอแนะนำให้ทุกท่าน สมัครสมาชิก เพื่อป้องกันการแอบอ้างชื่อครับ

Mark Mafia

การตีสุนัข ดี หรือ ไม่
  • การตีสุนัข ดีหรือไม่ดี?

    ไม่ควรทำโทษหรือตักเตือนสุนัขด้วยการทำร้ายสุนัขให้เจ็บ ไม่ว่าจะด้วยการตี การเตะ หรือฟาดด้วยอุปกรณ์ต่างๆก็ตาม เพราะไม่สามารถทำให้สุนัขเข้าใจได้ และถือเป็นการทำลายความเชื่อใจและความไว้ใจที่เขามีกับเรา

    แม้ในโลกของมนุษย์ที่เคยใช้การตีเพื่อการลงโทษ ตักเตือน เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งปัจจุบันก็ไม่เป็นที่ยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียนหรือที่บ้าน แต่มีการใช้การพูดจาด้วยเหตุผลและมาตรการการลงโทษด้วยวิธีอื่นๆที่เป็น เงื่อนไขมาแทน เช่น การใช้ time out , งดค่าขนม เป็นต้น ซึ่งให้ผลในการปรับพฤติกรรมของเด็กได้ดีกว่าการตี

    การปรับพฤติกรรมสุนัขในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญพฤติกรรมสุนัขสำนักใด ทั้งกลุ่มคนที่ใช้การสงเสริมพฤติกรรมเชิงบวก(Positive Reinforcement) หรือ แนวทางของซีซาร์ มิลลาน(Cesar Millan) ก็ไม่สนับสนุนการใช้กำลังทำร้ายสุนัขเพื่อการฝึกสุนัข

    การตีถือเป็นการจัดการตามวิถีของมนุษย์โบราณ และการตีก็ไม่ได้เป็นพฤติกรรมที่สุนัขใช้เตือนกันเองในฝูง ถ้าอยากจะควบคุมสุนัขให้ได้ผลสำเร็จ ต้องใช้จิตวิยาสุนัขมาใช้ ถึงจะได้ผลที่ยั่งยืนถาวร

    จ่าฝูงสุนัขไม่ได้ปกครองลูกฝูงโดยใช้การตีด้วยอุ้งเท้า หรือ คาบไม้มาฟาดก้นอีกตัว หรือ ใช้เท้าเตะชายโครงอีกตัวให้กระเด็น แต่จ่าฝูงใช้จิตวิทยาสุนัขในการปกครองฝูง การทำให้สุนัขอีกตัวยอมจำนนโดยใช้จิตวิทยาสุนัข มีการแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ การใช้ท่าทาง การใช้ความใหญ่โตของร่างกาย เช่น การพองขนคอ ขนหลัง หูตั้ง หางตั้ง เพื่อทำให้ตัวเองดูตัวใหญ่กว่าอีกตัว การโชว์อาวุธของตัวเอง เช่น การโชว์ฟัน แยกเขี้ยว เพื่อเป็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้ว่าฉันเขี้ยวใหญ่นะ จะกล้าหือไหม
    ถ้าโชว์อาวุธแล้ว อีกตัวก็มีขนาดอาวุธเท่ากัน เมื่อนั้นก็ต้องตามมาด้วยทาทางต่างๆ ซึ่งวัดกันด้วยจิตใจ เช่น ใครถอยก่อน ฝ่ายนั้นแพ้ แต่ถ้าไม่มีใครยอมกัน ภาวะจิตใจแน่วแน่เท่ากัน เมื่อนั้นก็จะประลองกำลังกัน แต่การประลองกำลังกัน สุนัขจะสื่อด้วยท่าทางตลอดเวลา ถ้าตัวไหนรู้ว่าสู้อีกตัวไม่ได้ ก็จะยอมจำนนโดยการนอนหงายท้อง หางจุกก้น จะทำให้ฝ่ายที่แข็งแรงกว่ารู้ว่า คู่ต่อสู้ได้ยอมแล้ว เมื่อนั้นการโจมตีก็จะหยุด จะจบแบบบาดเจ็บแต่ไม่ถึงกับชีวิต แต่สุนัขตามธรรมชาติน้อยมากที่จะสู้กัน
    บางคนสงสัยว่า ทำไมสุนัขปัจจุบันถึงกัดกันถึงตาย แต่สุนัขในธรรมชาติกัดกันไม่ถึงตาย ? เนื่องจากสุนัขในธรรมชาตินั้นเก่งและแม่นเรื่องภาษากายสุนัข เพราะใช้ตลอดเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นการที่อีกตัวเห็นท่าทางยอมจำนนของอีกตัวเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้หยุดการต่อสู้แล้ว นั่นเองถึงทำให้สุนัขไม่กัดกันถึงตาย แต่สุนัขเลี้ยง สุนัขเมืองในปัจจุบัน เข้าสังคมไม่เป็น เจอสุนัขน้อย เข้าสังคมน้อย ทำให้ด้อยประสบการณ์เรื่องภาษากายสุนัข หรือ บางตัวเข้าสังคมบ่อยแต่ก็ไปเจอแต่สุนัขที่ด้อยเรื่องภาษากายเหมือนกัน อ่อนกับอ่อนมาเจอกัน ก็มีแต่ชวนกันลงเหว นั่นเองทำให้สุนัขในปัจจุบันถึงกัดกันบ่อย สุนัขไม่ถูกกัน กัดกันถึงตาย ก็เพราะด้อยและอ่อนเรื่องภาษากายนั่นเอง เวลาต่อสู้กัน พออีกตัวแสดงท่ายอมจำนนแล้ว แต่อีกตัวไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ทำให้กัดกันไม่เลิก ยิ่งกัดกันนาน ความบาดเจ็บก็มากขึ้น เมื่อนั้นการเสียชีวิตก็จะตามมา หรือ สุนัขบางสายพันธุ์ถูกมนุษย์เพาะพันธุ์มาเพื่อจุดประสงค์ความก้าวร้าวมากเป็นพิเศษ
  • พฤติกรรมธรรมชาติของสุนัขทั่วๆไปในฝูง(ทำการศึกษาจากการ สังเกตพฤติกรรมสุนัขป่า) ไม่ใช้กำลังทำร้ายกันรุนแรง จ่าฝูงตักเตือนลูกฝูงด้วยเพียงการใช้พลังงาน ท่าทาง หรือ เสียงขู่ น้อยมากที่จะถึงขั้นลงมือทำร้าย แม้การช่วงชิงตำแหน่งจ่าฝูง ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
    การที่คนบางคนสังเกตพฤติกรรมก้าวร้าวของสุนัขบ้านในปัจจุบัน (ซึ่งมักเป็นสุนัขที่มีปัญหาพฤติกรรมติดตัวไม่มากก็น้อย ไม่ใช่สุนัขที่มีพฤติกรรมปกติ) แล้วทึกทักเอาเองว่านี่คือพฤติกรรมปกติของสุนัขตามธรรมชาติ ก็เลยใช้กำลังทำร้ายสุนัขให้ได้รับบาดเจ็บเพราะคิดว่าเป็นพฤติกรรมปกติของสุนัขที่ต้องทำร้ายร่างกายกันให้บาดเจ็บเพื่อแย่งกันเป็นใหญ่ จึงเป็นการเข้าใจผิดอย่างยิ่ง

    การที่คนบางกลุ่มที่ไม่เข้าใจจิตวิทยาสุนัขแบบถูกต้อง หรือ ชอบคิดเอาเอง หรือ หาข้อมูลแบบผิดๆแล้วก็มาคิดว่าตัวเองถูก ก็จะมาตีความเรื่องสุนัขต่อสู้กันเพื่อแย่งความเป็นใหญ่ หรือ การที่จัดการกับลูกฝูงที่มาท้าทายว่า เป็นการแสดงความก้าวร้าว แต่ไม่ได้มองภาพความเป็นจริงว่า การที่เราคิดว่ามันเป็นความก้าวร้าว เพราะเรามัวแต่มองในมุมของมนุษย์ที่เวลาแสดงความก้าวร้าวกันก็ต้องต่อยต้องเตะ ก็เลยคิดว่าสุนัขทะเลาะกันก็เหมือนกับคนที่ทะเลาะกัน ก็ทำให้ตัดสินลวกๆเอาเองว่า ถ้าเราจะจัดการกับสุนัข เราก็ต้องแสดงความก้าวร้าวให้สุนัขเห็น ต้องทำให้สุนัขเจ็บ ต้องทำร้ายร่างกายสุนัขเหมือนกับเราทำร้ายร่างกายมนุษย์ด้วยกันเอง ถึงจะคุมสุนัขอยู่ เมื่อนั้น คนก็จะเอาอาวุธที่ตนคุ้นเคย และความได้เปรียบ ร่วมกับการนั่งเทียนคิดเอาจิตวิยามนุษย์มาปรับใช้กับสุนัขแบบมั่วๆ มาจัดการกับสุนัข จะเลือกวิธีโหดแรง โหดน้อย ก็ขึ้นกับจริยธรรมส่วนบุคคลและพื้นฐานการดำรงชีวิต

    บางคนมั่นใจตัวเองว่า ได้ทำร้ายสุนัขให้เจ็บแล้ว แต่สุนัขก็เชื่อฟังดีอยู่ ก็คิดว่าการทำให้สุนัขเจ็บ คือการทำโทษที่ได้ผล แต่จริงๆสุนัขเขากลัว เขาถึงยอมทำตาม ทำตามเพราะกลัว แต่คุณจะไม่ได้ความเคารพ หรือ เขาไม่ได้ยอมทำให้จากใจ เขาอาจยอมทำตามที่เราสั่งก็จริง แต่ทำจากความกลัว ไม่ได้ทำจากใจ มันต่างกันตรงนี้
    และการตีสุนัขโดยที่สุนัขตัวนั้นไม่ได้เป็นสุนัขจ่าฝูงตัวจริง คุณก็อาจทำให้เขากลัวได้ และ เขาก็ไม่ทำพฤติกรรมที่เราไม่ต้องการ แต่ถ้าคุณไปเจอสุนัขจ่าฝูงตัวจริงเข้าให้ นั่นเองคุณจะถูกสุนัขกัดสวน หรือ สุนัขลอบกัดตอนคุณเผลอ เพราะเขาไม่ได้ยอมจากใจ เมื่อสุนัขไม่ได้ยอมจากใจ นั่นเอง พฤติกรรมที่เราเคยห้าม มักจะเกิดขึ้นมาอีก สุนัขจะลักปิดลักเปิด ไม่หายถาวร หรือ สุนัขจะทำอีกเมื่อเราเผลอ
  • อยากจะให้คนที่เลี้ยงสุนัขด้วยลำแข้ง หรือ ด้วยไม้ คิดดูว่า ถ้าคุณพิการ ขายกไม่ได้ เตะสุนัขไม้ได้ มือหยิบไม้เรียวไม่ได้ สุนัขก็คงไม่มีทางเชื่อฟังคุณ จริงๆแล้วคุณไม่มีความสามารถอะไรเลยในการที่จะทำให้สุนัขยอมรับคุณ เพราะคุณใช้แต่ตัวช่วย ใช้อุปกรณ์ช่วย ถ้าไม่มีตัวช่วย คุณก็ไม่ได้เก่งอะไร และไม่มีความหมายอะไรสำหรับสุนัข

    โดยส่วนตัวไม่สนับสนุนการทำร้ายร่างกายสุนัขให้ได้รับความเจ็บปวดเพื่อสั่งสอนพฤติกรรม เราเป็นมนุษย์เราไม่ควรใช้กำลังกับสัตว์ที่ไม่มีทางสู้ เหมือนผู้ชายที่ชอบเอาชนะผู้หญิงด้วยการใช้กำลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขี้ขลาดมากไม่แมนเสียเลย เมื่อไหร่ที่ตีสุนัข เรากำลังทำลายความเชื่อใจที่เขามีต่อเราไป ความเชื่อใจ ความไว้วางใจ ถ้าอยากจะได้จากสุนัข ต้องทำให้เขายอมเราด้วยใจ ไม่ใช่ใช้กำลังเพื่อให้ได้มา ซึ่งสุนัขไม่มีทางจะให้

    การอาชนะสุนัขด้วยจิตใจ เช่น

    เมื่อต้องการจับเท้าแล้วสุนัขชักเท้าหนี พร้อมขู่ เราก็ต้องจับเท้าจนกว่าเขาจะเลิกชักเท้าหนี การที่เขาเลิกชักเท้าหนี นั้นคือ เขายอมแพ้เราไปเอง เมื่อเขารู้ตัวว่า ชักเท้าหนี หรือขู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเราก็จะจับเท้าเขาอยู่ดี เมื่อนั้นเขาจะยอมเราในที่สุด แต่ถ้าเราเลิกจับเท้าเขาเพราะเขาชักเท้าหนี เราหมดความอดทนไปก่อนที่สุนัขจะยอม เมื่อนั้นเขาชนะและครั้งต่อไปเขาก็จะทำอีก

    การตีไม่ใช่วิถีของจ่าฝูง

    บางคนใช้วิธีโบราณ คือ เอาหนังสือพิมพ์ม้วนแล้วตีพื้นให้เสียงดัง ก็ทำให้สุนัขกลัวและเชื่อฟัง

    การที่คุณหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมานั้น สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีคือ คุณมั่นใจ คุณแน่วแน่ และเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นว่าเราต้องคุมสุนัขได้ ความมั่นใจแบบนี้แหละ ที่ทำให้สุนัขยอมจำนน เขายอมจำนนต่อพลังงานจิตใจของคุณขณะนั้นที่หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา แต่ไม่ได้เกี่ยวกับหนังสือพิมพ์แต่อย่างใด แต่ถ้าคุณได้ใจ และใช้หนังสือพิมพ์ทุกครั้งที่ตักเตือนสุนัข สุนัขจะเริ่มนับถือหนังสือพิมพ์มากกว่าตัวคุณ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่า ถ้าเราไม่มีหนังสือพิมพ์เราก็คุมสุนัขไม่ได้ หรือ สุนัขบางตัวกล้าและดื้อ หนังสือพิมพ์ก็เอาไม่อยู่ เขาก็จะหาทางกำจัดหนังสือพิมพ์ เราจะเห็นว่า สุนัขบางตัวไม่กลัวหนังสือพิมพ์อีกต่อไป แต่ไล่งับหนังสือพิมพ์แทน หรือ เอาหนังสือพิมพ์มาทำลาย ก็ไม่ต่างอะไรกับการตีสุนัขด้วยมือ เมื่อหมาคิดสู้ เขาก็จะไล่กัดมือ หรือ ลอบกัดตอนคุณเผลอ เหมือนไล่กัดหนังสือพิมพ์ หรือ เอาหนังสือพิมพ์มากัดทำลายถ้าเขามีโอกาส และการใช้หนังสือพิมพ์ในการตักเตือนสุนัข ถือว่าเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับชีวิตมาก เราคงต้องเตรียมหนังสือพิมพ์ไว้ทุกห้องเพื่อสะดวกในการหยิบจับ หรือ ต้องพกออกไปเที่ยว ออกไปนอกบ้านด้วย ดูแล้วช่างน่าขันเสียกระไร

    ที่จริงเรามีอาวุธที่ดีที่สุดอยู่กับตัว ซึ่งไม่มีหนังสือพิมพ์ม้วน หรือ ไม้อันไหนจะสู้ได้ และเรายังใช้อาวุธนั้นได้ทุกเมื่อที่เราต้องการ ไม่ว่าจะอยู่ในบ้าน อยู่นอกบ้าน ขึ้นรถ ลงเรือ ก็ใช้ได้ อาวุธนั้นก็คือ จิตใจเรา พลังงานของเรา และ มือ
  • สำหรับคนที่เคยชินกับการใช้หนังสือพิมพ์ ให้เราค่อยๆลดการใช้หนังสือพิมพ์ลง และจำพลังจิตใจในขณะเราหยิบหนังสือพิมพ์ไว้ แล้วมาใช้กับสุนัขโดยที่ไม่ต้องถือหนังสือพิมพ์ เพื่อให้สุนัขกลับมาเคารพเรา เคารพพลังงานของเรา แทนที่จะเคารพหนังสือพิมพ์

    การตักเตือนสุนัขที่ได้ผล ถูกหลักจิตวิทยาสุนัข และ ในวิถีจ่าฝูงก็คือ เราต้องมีความนิ่ง สุขุม มั่นคง แน่วแน่ จริงจัง และ แสดงออกผ่านเสียง ท่าทาง หรือใช้มือเราสำหรับการฉกเพื่อตักเตือนสุนัข โดยไม่ต้องพึ่งพาอาวุธใดๆให้วุ่นวาย หรืออาจมีสายจูงเป็นตัวช่วย ในกรณีที่เราใส่สายจูงสุนัขอยู่

    การกดคอหรือการฉก เป็นการตักเตือนที่สุนัขเข้าใจเพราะเลียนแบบวิถีที่สุนัขเขาใช้กันตาม ธรรมชาติ และไม่เป็นการทำร้ายร่างกายใดๆ และไม่ทำร้ายจิตใจสุนัขด้วย ขณะที่เราทำ เราทำด้วยจิตใจที่สุขุม นิ่ง มั่นคง มีความแน่วแน่ และความเมตตา โดยปราศจากความโกรธ โมโห เพื่อจุดประสงค์ในการตักเตือน เตือนสติ ให้สุนัขหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและหันมาสนใจเรา ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายสุนัขให้เจ็บ บางครั้งเราอาจจะฉกด้วยมือ บางครั้งอาจสะกิดด้วยเท้าก็ได้ถ้ามือไม่ว่าง หรือแม้กระทั้งใช้อุปกรณ์ตัวช่วยอื่นๆ จุดประสงค์คือ ให้สุนัขสะดุ้ง แล้วมีสติกลับมามองที่เรา
    จุดสำคัญคือ สภาวะจิตใจของเราขณะทำการตักเตือนสุนัข และ ความตั้งใจของเรา ถ้าเราใช้เท้าสะกิดสุนัขเพื่อให้สุนัขสะดุ้งแล้วให้สุนัขหันกลับมามองเรา โดยเขาไม่เจ็บ เขาก็ยังเคารพเราอยู่ ซึ่งต่างกับการใช้เท้าเตะสุนัขเพื่อจุดประสงค์ให้สุนัขเจ็บพร้อมกับเราทำด้วยความโมโห โกรธ นั่นเองสุนัขจะตอบกลับด้วยความก้าวร้าว โมโหกลับ หรือ ตอบกลับด้วยความกลัว และ เสียความนับถือ ความเชื่อใจในตัวเรา แม้ใช้เท้าเหมือนกัน แต่ความตั้งใจต่างกัน ความแรงต่างกัน ทำด้วยสภาวะจิตใจที่ต่างกัน ผลที่ได้ก็ต่างกัน เพราะสุนัขสามารถรับรู้จิตใจของเราลึกๆลงไปได้ด้วย

    การตี การเตะ การทำร้ายร่างกายด้วยความโมโห โกรธหรือเกลียดจะมีผลเสียตามมาเสมอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น สุนัขจะกลัวมือ เรียกมาบ้างไม่มาบ้าง หวงตัว ชอบงับมือ เพราะเขาไม่ไว้ใจเรา เขาไม่อยากเข้ามาหาแล้วเจ็บตัว การที่สุนัขยอมทำตามยอมเรา เขายอมด้วยความกลัวไม่ได้ยอมจากใจ เขากลัวโดนทำร้ายเขาถึงยอมทำตามต่างหาก ถ้าเราตีสุนัขขี้กลัว สุนัขก็จะขี้กลัวมากขึ้น ถ้าเราตีสุนัขก้าวร้าวที่เป็นจ่าฝูงตัวจริง สุนัขก็จะก้าวร้าวมากขึ้น สุนัขจะสู้ หรือ สุนัขอาจจะหงอตอนนี้แต่จะเป็นสุนัขรอบกัดทีหลัง พฤติกรรมจะไม่หายถาวร เพราะฉะนั้นไม่ควรทำ ได้ไม่คุ้มเสีย เราควรเลี้ยงสุนัขแบบผู้ที่มีความเจริญทางจิตใจ
  • ขอบขอบคุณ คุณcatpit
  • *-:) ได้ความรู้เพิ่มเติม..........
  • :063: image
    ไฟล์แนบ
    DSC04564_resize.JPG 28K
  • ได้ความรู้มาก ขอบคุณค่ะ ที่บ้านก็ให้ไปหลายตุ๊บเหมือนกัน ต่อไปไม่ทำแล้ว... เริ่มใหม่ ไฉไล