“PR” Sarona’s Trouble
“A modern example of a good Old Family Red Nose dog” ประโยคสั้นๆ โดย Richard F. Stratton
แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการเขียนถึงเจ้า Sarona’s Trouble ในครั้งนี้ครับ
Mary Hammond (แมรี่ แฮมมอนด์) จาก Sarona, Wisconsin เธอเป็นเจ้าของคอกสุนัขชื่อ Sarona Pit Bull Terrier Kennels และเจ้า Sarona’s Trouble (เพศผู้) ตัวนี้ก็เป็นพ่อพันธุ์ตัวหลักที่ได้รับการยอมรับและกล่าวถึงมากตัวหนึ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในพิตบูลสไตล์นี้
ประมาณการปีเกิดของ Trouble คาดว่าอยู่ในช่วงปลายยุค 1970s พ่อและแม่ของมันคือ Killen’s Cid x Campbell’s Cajun Lulu
วันที่ 12 ม.ค. ปี ค.ศ.1977 (เกือบ 41 ปีที่แล้ว) Mary ได้เขียนจดหมายไปหา Don Killen เจ้าของ Killen’s Cid ว่าเธอจะส่งสุนัขเพศเมียไปผสมกับ Cid ซึ่งในเนื้อความของจดหมาย ระบุถึงรายละเอียดของตัวเมียตัวนั้นว่าเป็นสีลายเสือ (Brindle) แต่เธอไม่ได้บอกชื่อของตัวเมียตัวนี้ไว้แต่อย่างใด
ถึงแม้ว่าหลักฐานรูปถ่ายที่พอจะพบได้ไม่กี่รูปของ Cajun Lulu เป็นเพียงแค่รูปภาพขาว-ดำ (ไม่สามารถระบุสีหรือลายได้แน่ชัด) แต่ก็มีบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้ลงความเห็นและคาดการณ์ว่าตัวเมียในจดหมายฉบับนั้น ก็คือ Cajun Lulu นั่นเอง
สี และ น้ำหนักตัว...
เจ้า Trouble มีสีแดง จมูกแดง และในหน้าโฆษณาของคอก Sarona ตามนิตยสารต่างๆ เช่น Bloodlines Journal ช่วงปลายปี 1977 เคยลงรูปและข้อมูลน้ำหนักของมัน อยู่ที่ 68 ปอนด์ และฉบับในปี 1978 ระบุข้อมูลไว้ที่ 70 ปอนด์ ครับ
**ข้อสังเกต : ข้อมูลตรงนี้ หากนำไปเทียบจากไทม์ไลน์ (ลำดับเหตุการณ์) ว/ด/ป ในจดหมายข้างต้น กับปลายปี 1977 (ปีเดียวกัน) ของหน้าโฆษณานิตยสาร Bloodlines ซึ่งเป็นรูปของ Trouble ตอนที่โตแล้ว และมีรูปลูกของมันชื่อ Sarona’s Deuces Wild อายุ 2 เดือน ลงประกอบไว้ด้วย ทำให้มีความเป็นไปได้ในอีกมุมนึงว่า ตัวเมีย ในจดหมายดังกล่าว อาจจะไม่ใช่ Cajun Lulu ตามที่มีผู้ให้ความเห็นไว้ในตอนแรกก็เป็นได้ครับ
ผลผลิต...
ก่อนที่จะกล่าวถึงลูกๆ บางส่วนของ Trouble นั้น ขอกล่าวถึง Killen’s Cid พ่อของมันซักเล็กน้อย Cid มีสีแดง จมูกแดง หนัก 70 ปอนด์ บรีดโดยการร่วมมือกันของ Everette Tartenaar กับ เจค ไวล์เดอร์ และมันเกิดในคอกของไวล์เดอร์ ครับ (Cid was born in Jake Wilder's yard) จากนั้น Don Killen ก็ซื้อมันมาจากไวล์เดอร์ในปี 1972
โลกของประวัติโอลด์ แฟมมิลี่ เรด โนส หากศึกษาย้อนกลับไปเราจะพบว่า Cid นั้นถือว่ามีบทบาทสำคัญมากตัวนึง หรือแม้กระทั่งในเพดดิกรีของ Davis Scooter Rock (พ่อไอ้จรวดพิฆาต ร็อคเก็ตไฟเออร์) ก็มีเจ้า Killen’s Cid บรรจุความโหดร้ายอยู่ด้วยเช่นกัน (2x Killen’s Cid)
นอกจาก Trouble แล้ว Cid ยังมีลูกของมันอีกตัวนึงสีดำ ชื่อ Gr.Ch. Killen’s Kyro 5xW จอมโหดซึ่งอยู่ในการครอบครองของ Don Killen ด้วย (สายทางแม่ของ Kyro ยังคงเป็นปริศนา แต่มีการสันนิษฐานว่ามาจากหมาเกมสาย Boudreaux!)
Sarona’s Deadly Demon
Deadly Demon เป็นลูกชายของ Trouble กับ Sarona’s Dixie Lu (คู่นี้เคยบรีดกัน 2 ครั้ง และ Deadly Demon เป็นลูกจากการบรีดในครั้งที่ 2) มันเกิดเมื่อวันที่ 21 พ.ค. ปี 1979 นอกจากผลงาน 1xW OTC แล้ว มันเองยังเป็นตัวที่มีรูปทรงสวยงามอีกตัวนึงด้วย
Jean’s Rare Vino
ตัวนี้มาจาก Trouble x Dixie Lu เช่นกัน เจ้าของของมันคือ Jean Carpenter (ผู้หญิง)
พบหลักฐานว่าเธอมีรูปถ่ายนั่งอยู่ข้างสังเวียนกับ 2 บรีดเดอร์ระดับตำนาน เบิร์ต เคล้าส์ และ บ็อบ วัลเลซ ซึ่งนั่นน่าจะพอบอกถึงบางสิ่งบางอย่างในระดับการเลี้ยงของเธอได้เช่นกันครับ
อีกหนึ่งตัวจากพ่อ-แม่พันธุ์คู่เดิม
ชื่อว่า “PR” Sarona’s Troublesome Jak
Troublesome Jak เป็นเพศผู้ สีแดง , จมูกแดง , มีดวงตาสีทอง และน้ำหนักโดยประมาณที่ 75 ปอนด์ ครับ
“PR” Sarona’s Red Angus
(Sarona’s Trouble x Sarona’s Calamity)
เจ้า Red Angus ช่วงปี 1979 มันเป็นพ่อพันธุ์อยู่กับเจ้าของชื่อ M.J. Peterson ซึ่งเขาได้ลงโฆษณาไว้ในปีนั้นว่ามีทั้งลูกสุนัข (ลูกของ Red Angus) พร้อมจำหน่าย และเปิดผสมด้วย... ความน่าสนใจคือเจ้านี่มันมีน้ำหนักตัวถึง 82 ปอนด์!
ในยุคต่อมา โลกของหมาแดงที่เราได้รู้จักกับพวกมันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Camelot’s Rajun Cajun , Camelot’s Mangus , Red Hot’s Shredder ฯลฯ พวกมันล้วนแล้วแต่มี Trouble เป็นส่วนหนึ่งของบรรพบุรุษด้วยทั้งสิ้น
ปัจจุบันนี้ แม้จะหาร่องรอยประวัติศาสตร์ของ Mary Hammond บางตอนไม่พบ เช่นที่ว่า เธอนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? หรือ เลิกบรีดสุนัขไปในช่วงปีใด? แต่ก็ยังมีบรีดเดอร์ยุคปัจจุบันอีกหนึ่งกลุ่ม ที่หลงใหล เก็บ รักษ์ และต่อผลผลิตของ Sarona bloodline อยู่เช่นกัน
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวบางส่วนบางตอนของ “PR” Sarona’s Trouble ครับ
เพดดิกรี : http://www.apbt.online-pedigrees.com/modules.php?name=Public&file=printPedigree&dog_id=369893
รูป Trouble บางส่วนจากหนังสือของ Richard F. Stratton และเพจ OFRN Historical Preservation