เรื่องเล่าขานตำนาน พิทบูล สิบเอก Stubby (1917-1906)

โดย Pitbull Zone UPDATE 25-12-2563

เรื่องราวของสิบเอก Stubby เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่1 (w.w.1.) หรืออยู่ในช่วงราวๆ พ.ศ.2469 ซึ่งกาลเวลาผ่านพ้นมาไม่น้อยกว่า 75ปี แต่ถึงกระนั้นผู้คนมากมายก็ยังพูดถึงเรื่องราวของสิบเอก Stubby อยู่เสมอนั้นเป็นเพราะเหตุใดกัน ? ตามประวัติของพิทบูลตัวนี้ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากที่ใด แต่มันถูกพบโดย พลทหาร จอหน์ โรเบริต์ คอนลอยภายในบริเวณลานของ มหาวิทยาลัย เยลล์(Yale University) ในปี1917 ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีการฝึกนักศึกษาในแนวหน้าของยุโรป ช่วงสงคราม โลกครั้งที่1 เจ้า Stubby เป็นหมาสีน้ำตาล และมีสีขาวแซมเป็นหย่อมๆ เมื่อแรกที่เขาพบเจ้าStubby มันเป็นเพียงแค่ลูกหมาเล็กๆ หางด้วน ดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่า Stubby (สทับบี้) ซึ่งแปลว่า "ไอ้ด้วน"ตามรูปร่างของมันนั่นเอง ในช่วงที่มีการตั้งแค้มป์ของนักศึกษา จะเป็นที่รู้กันดีว่าเสียงแตรเดี่ยว คือ สัญญาณที่ทหาร และนักศึกษาจำต้องปฏิบัติตาม ทุกครั้งที่มีสัญญาณเป่าแตร และทุกครั้งเมื่อมีเสียงสัญญาณเจ้า Stubby จะนั่งยองๆ ยกขาขวาแตะที่ขอบตาขวา เพื่อเป็นการแสดงความเคารพทุกครั้ง และด้วยกริยาท่าทางของมันนี้เอง ที่แสดงออกมาทำให้ทุกคนที่พบเห็นอดที่จะชื่นชม และเอ็นดูมันไม่ได้ มันจึงเป็นที่รักของคนทั่วไปที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากผู้บังคับ บัญชาเดินผ่านมาเจ้า Stubby มันจะหยุดทำความเคารพท่านทันที ส่วนตัวท่านผู้บังคับบัญชาเองท่านก็ไม่ว่ากล่าวอะไรเกี่ยวกับตัวเจ้าStubby ถึงแม้นว่าการมีสัตว์เลี้ยงจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้รับการอนุญาติ ให้มาเกี่ยวข้องปะปนกับการฝึกทหารก็ตาม ต่อมาเมื่อการฝึกของนักศึกษาได้ผ่านไปจนจบหลักสูตรการฝึก นาย คอนลอย เองก็รู้ดีถึงกฎการห้ามมีสัตว์-เลี้ยง แต่เขาเองก็ไม่สนใจกับกฎเกณฑ์ดังกล่าวนั้นเลย




เขาเตรียมตัวเก็บของ และซ่อนเจ้า Stubby เพื่อนรักมาใน รถบรรทุกซึ่งใช้บรรทุกนักศึกษาเพื่อมาส่งยังศูนย์กลางรถไฟเจ้า Stubby ถูกนำลงเรือเพื่อเดินทางต่อไปยังเวอร์จีเนีย ตัวเจ้า Stubby มันถูกซ่อนมาในถังขยะของเรือขนถ่าน การเดินทางในช่วงนี้ใช้เวลาถึง 12 ช.ม และในส่วนตัวของเจ้าStubby มันเป็นที่รู้จักของทหาร และกะลาสีเรือทุกคน ในช่วงที่อยู่บนเรือมีกะลาสีคนหนึ่งทำป้ายบอกชื่อให้เจ้า Stubby เช่นเดียวกับทหารทุกนายที่จำเป็นต้องมีป้ายบอกชื่อ และชื่อสกุล ในที่สุดการเดินทางอันยาวนานก็สิ้นสุดลง เจ้า Stubby ก็พบว่าตัวของมันเองนั้นอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า ปัญหาแรกของนาย คอนรอย คือ ต้องสร้างรังเพื่อใส่เจ้า Stubby ซึ่งเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ปกติเวลาเดินทางเขาจะอุ้มเจ้า Stubby ไว้ในวงแขนของเขา และคลุมปิดไว้ด้วยเสื้อ Coat ของทหาร ในไม่นานเรื่องของ Stubby ก็ได้ทราบถึงบังคับบัญชาคนใหม่ ไม่ว่าเรื่องราวการเดินทางอันยาวนานของเจ้าStubby ตลอดจนประวัติส่วนตัวของ Stubby ได้ถูกเปิดเผยให้ทราบ และท่านบังคับบัญชาก็อณุญาติให้เจ้า Stubby พักอาศัยอยู่ร่วมกับทหารได้โดยยึดหลักศีลธรรม อีกหลายอาทิตย์ต่อมามีคำสั่งให้กองพลทหารราบที่ 102d ของพลทหาร คอนลอย เป็นกองพลน้อยของกองพลที่ 26 ของแยงกี้ให้เคลื่อนกำลังพล ไปยังแนวหน้าของฝรั่งเศส และเช่นกันเจ้า Stubby ก็ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาของ คอนลอย ให้มันเดินทางไปด้วย และเพื่อเป็นมิ่งขวัญกำลังใจของกองพลน้อยที่102 ต่อมาเมื่อกองพลเดินทางมาถึงแนวหน้า ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1918 ณ ที่แห่งนี้มีแต่ความหนาวเหน็บ และอันตรายรอบด้าน ทหารทุกๆนายจะต้องดำรงชีวิตอยู่ภายในสนามเพาะซึ่งจะขุดเป็นคูอยู่ภายในดิน ภายในคูนั้นจะเต็มไปด้วยน้ำ และโคลน จึงมักก่อความไม่สะดวกให้กับทหาร และเจ้า Stubby ในสมรภูมินั้นเต็มไปด้วยห่ากระสุน และประกายเพลิงจากปากกระบอกปืนทั้งของฝ่ายสัมพันธ์มิตร และฝ่ายทหารเยอรมันคลอบคลุมทั่วบริเวณ และทั่วบริเวณนั้นเต็มไปด้วยทหารที่บาดเจ็บล้มตายกลาดเกลื่อนไปทั่วทุกหนแห่ง แต่เจ้า Stubby มันถูกฝึกให้ชินกับเสียงปืนยาว และปืนใหญ่รอบนอก จนวันหนึ่งทหารเยอรมันได้นำเอาแก๊สพิษมาใช้ในสนามรบ แก๊สพิษนี้มีส่วนผสมทางเคมีซึ่งสามารถทำลายเซลล์ของผิวหนัง และมีผลต่อระบบการหายใจตลอดจนถึงการมองเห็นทำให้ตาบอดได้ ตัวเจ้า Stubby มันก็ได้รับผลจากแก๊สนี้ด้วยเช่นกันมันถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสนามโดยด่วน หลังจากนั้นหมอได้ให้การรักษา Stubby จนสุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิมจากบทเรียนทีได้รับในครั้งนี้ทำให้ Stubby รอบคอบมากขึ้น และระมัดระวังมากขึ้นในเรื่องหมอก หรือควัน เช้าวันหนึ่งในหลายอาทิตย์ต่อมา ก่อนที่ทหารเยอรมันจะเริ่มลงมือใช้แก๊สพิษนี้อีกครั้ง ในขณะนั้นทหารในกลุ่มของเจ้าStubby กำลังนอนหลับ และไม่ได้ระวังตัวจากแก๊สพิษช่วงนั้นเองเจ้า Stubby มีความรู้สึกถึงความผิดปกติที่กำลังจะเกิดขึ้น ทันใดนั้นเองมันจึงรีบลุกขึ้นวิ่งไปตามแนวสามเพาะ และมันเริ่มเห่าพร้อมทั้งกระตุกคอเสื้อ และขาของทหารโดยการงับ เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนพร้อมทั้งปลุกให้ทหารทุกคนตื่นขึ้น และรู้สึกตัวว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ทหารบางคนตื่นขึ้น และรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต่อเมื่อมีเสียงเตือนว่ามีแก๊สพิษ ทหารหลายๆคนถูกช่วยชีวิตในเช้าวันนั้น แต่เจ้า Stubby มันกลับผละไปจากสนามเพาะ และรอคอยอยู่ภายนอกจนมันเองรู้สึกว่าอากาศภายในสนามเพาะเริ่มปลอดโปร่ง แล้วมันจึงกลับลงไปในสนามเพาะอีกครั้ง หลังจาก Stubby กลับลงมาในสนามเพาะ มันก็พบทหารบาดเจ็บหลายนาย และในบริเวณที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆเลยซึ่งเรียกกันว่า "No-mans land" คือ ที่ๆอยู่ระหว่างทหารฝ่ายสัมพันธ์มิตร และทหารเยอรมันเพราะหากโผล่ออกมาจากสนามเพาะจะถูกฆ่าทันที และหากเมื่อใดเจ้า Stubby มันได้ยินเสียงทหาร หรือผู้ได้รับบาดเจ็บเรียกมันเป็นภาษาอังกฤษมันจะตะกายขึ้นจากสนามเพาะ แล้วรีบนำคนเจ็บลงมายังสนามเพาะ การกระทำของมันเป็นที่ประจักษ์แก่ทหารหลายๆนายมาแล้ว และทหารส่วนใหญ่ให้ความเชื่อมันในตัว Stubby พร้อมทั้งยกย่องให้มันเป็นมิ่งขวัญของทหาร และกองพล



วันหนึ่ง. ในขณะที่ทหารลาดตระเวนกำลังออกไปสำรวจรอบๆ "No-mans land" เจ้า Stubby มันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังออกมาจากพุ่มไม้ ทันใดนั้นเจ้า Stubby มันก็ตรงเข้าไปในพุ่มไม้นั้นทันที และมันก็พบกับทหารฝ่ายเยอรมันที่กำลังทำพิกัด ของทหารฝ่ายสัมพันธ์มิตรในบริเวณสนามเพาะ ในขณะนั้นทันทีที่ทหารเยอรมันพยายามเรียกเจ้า Stubby แต่ไร้ผลกลับกัน Stubby เริ่มเห่าทันที เมื่อทหารเยอรมันพยามวิ่งหนีเจ้า Stubby ก็ตามไปกัดเข้าที่ขาของทหารเยอรมัน และมันคุมตัวทหารเยอรมันไว้ได้ เมื่อทหารฝ่ายสัมพันธ์มิตรได้ยินเสียงผิดปกติ และเมื่อพวกเขาเห็นเจ้าStubby จับตัวทหารเยอรมันไว้ได้ทหารทุกๆนายต่างดีใจ แน่นอนเจ้า Stubby มันได้พิสูจน์ตัวมันเองแล้วว่ามันสมเป็นทหารอย่างแท้จริงเมื่อผู้บังคับบัญชาของกองพล 102 ได้เห็นถึงความกล้าหาญของ Stubby จึงเสนอให้ Stubby ได้เป็นทหารชั้นประทวนซึ่งเลื่อนยศจากพลทหาร Stubby เป็นสุนัขพิทบูลตัวแรก และได้เป็นนายทหารสุนัขของกองทัพบก อีกครั้งที่ทหารเยอรมันได้ใจ เห็นว่าไม่มีอะไรโต้ตอบมาจาก "No-mans land" จึงได้ระดมยิง และขว้างระเบิดเข้าใส่เจ้า Stubby และคอนรอยผู้เป็นนายโงหัวขึ้นจากสนามเพาะไม่ได้เลย ตัวคอนรอยนั้นหันปากกระบอกปืนระดมยิงใส่ข้าศึกอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนเจ้า Stubby มันกำลังพยายามหาทางออกจากสนามเพาะเพื่อดูเหตุการณ์ ทางด้านหนึ่งซึ่งปลอดจากทหารเยอรมัน แต่ทันใดนั้นทหารเยอรมันคนหนึ่ง ได้ขว้างระเบิดชนิดแตกกระจายกลางอากาศเข้ามา เจ้า Stubby โดนสะเก็ดระเบิดเข้าที่หน้าอก และขาขวาหลังจากนั้นเจ้า Stubby มันนอนนิ่งไม่ไหวติง ทหารบางคนคิดว่า Stubby ตายแล้วต่อมาเมื่อมันลุกขึ้นเดินโขยกเขยก ทุกคนจึงโล่งอกเมื่อรู้ว่ามันยังไม่ตายจากนั้นคอนรอยตรวจดูการเต้นของหัวใจ, ลมหายใจใช่แล้วเจ้า Stubby ยังไม่ตาย ดังนั้นมันจึงถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลสนาม และนำตัวส่งไปยังกาชาด เพื่อทำศัลยกรรมอีกครั้งหนึ่ง. เจ้า Stubby เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย มันได้ไปเยี่ยมคนเจ็บที่สถานกาชาด และปรากฏตัวตามงานสังคมต่าง ๆ และมันก็ถูกส่งกลับมายังหน่วย 102 อีกครั้ง สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้สิ้นสุดลงในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 สิบเอก Stubby ได้ช่วยเหลือกองพลจากกการปะทะกันทั้งหมด 17 ครั้งขณะที่เขาอยู่ในยุโรป สิบเอก Stubby และท่านประธานาธิบดี วู๊ดโรล วิลสัน ได้ตรวจเยี่ยมกองกำลังพลของทหารอเมริกันในยุโรป เมื่อไรที่สิบเอก Stubby พบท่านประธานาธิบดีมันจะแสดงความเคารพทันที โดยยกเท้าขวาขึ้นแตะขอบตาขวา ส่วนท่านประธานาธิบดี วู๊ดโรล วิลสัน ท่านก็รักและเอ็นดูสิบเอก Stubby มากเช่นกัน สิบเอก Stubby กลับมาถึงอเมริกาในเดือนเมษายนปี ค.ศ. 1919 เจ้า Stubby มันได้เหรียญเชิดชูเกียตรมากมาย เหรียญของมันอันหนึ่งได้จาก Humane Education Society โดยได้รับมอบจาก นายพล John J. Pershiog หัวหน้าทหารอเมริกัน เจ้า Stubby มันได้ไปเยี่ยมทำเนียบขาวถึงสองครั้ง มันได้เข้าพบท่านประธานาธิบดีถึงสองท่านคือท่าน Harding และ ท่าน Coolidge เจ้า Stubby มันได้รับเกียติรเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสมาคม YMCA. และภายในการ์ดของสมาชิกของ Stubby ระบุไว้ว่า เจ้า Stubby ได้รับกระดูกวันละ 3 ชิ้น และที่นอนอันอบอุ่นเจ้า Stubby เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปอย่ากว้างขวาง
บั้นปลายชีวิตของสิบเอก Stubby ตายเมื่อ วันที่ 16 มีนาคม 1926 เจ้า Stubby มันมีชีวิตอยู่กับเจ้านายของมัน นาย จอห์น โรเบริด คอนลอย คือคนผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้ช่วยชีวิตลูกสุนัขห้างด้วนตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน
หลับให้สบายเถอะน๊ะ ขอให้มีความสุขขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ความห้าวหาญ, ความภักดีที่เจ้าได้มอบไว้ให้นะเจ้า Stubby.
หมายเหตุ: หลังจากมีชัยชนะจากสงครามโลกครั้งที่1. นาย จอห์น โรเบริต์ คอนลอย กลับมาอเมริกา และเขาเข้าเรียนในคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Georgetown ส่วน Stubby รูปของมันได้ถูกนำมาเป็นตัวนำโชคของ ทีมฟุตบอล Georgetown และแฟนๆของทีมHoyasทุกคนชื่นชม และขอบคุณที่มันนำโชคให้แก่ทีมทำให้มีไชยชนะในการแข่งขันเสมอๆ จนทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าหมา "Bulldog" มักจะนำโชคมาให้ และในระหว่างการแข่งขัน Stubby จะลงไปเล่นในสนาม และมันจะวิ่งไปทักทายคนสำคัญ (V.I.P) ที่เข้าชมเสมอๆ ปัจจุบัน Stubby ก็ยังเป็นสัญลักษณ์และตัวนำโชคของ Georgetown's foot ball team มาจนปัจจุบัน

สนับสนุนโดย อาหารสุนัขเอฟวัน
www.f1dogfood.com

สาระน่ารู้ที่เกี่ยวข้อง