ยินดีต้อนรับครับ

ขอแนะนำให้ทุกท่าน สมัครสมาชิก เพื่อป้องกันการแอบอ้างชื่อครับ

Mark Mafia

ห้องตะลุมบอล สำหรับคนเก็บกด
  • ฉลองกันหน่อยโว้ยพวก
    ไฟล์แนบ
    xa.jpg 22K
    jguy.jpg 16K
    ffd.jpg 26K
    dvd.jpg 37K
    dd2.jpg 35K
  • ดูหน้าแม่งกำลังใด้ที่ 55++++ เพื่อสุนทรีภาพในการรับฟัง
  • ทักกี้ติดคุก
  • ป๋า...ไม่ลองทำเบียร์ขาย น่าจะรุ่งมากกว่า...เครื่องดื่มชูกำลังน่ะ...เห็นจะๆ ฟ้องกันด้วยภาพเลย อิอิ
  • สงสัยมานานแล้วเรื่องนี้...ไม่รู้ว่าผู้คนที่มาเข้าร่วมการชุมชุมไม่ว่าสีใหนกลุ่มใหนเข้าไม่ต้องทำงานทำการเลี้ยงปากเลี้องท้องกันเหลอครับ
    ถึงมีเวลามานั้งปักหลักกันอยู่ได้ตั่งหลายๆวัน...ถ้าเป็นผมคงทำไม่ได้แน่ถึงใจรักชาติขนาดใหนก็เถอะปากท้องพ่อแม่ลูกเมียสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
    แล้วผมดูจากสภาพภายนอกของคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาปักหลักชุมนุมแล้ว ไม่หน้าจะร่ำรวยถึงขนาดนอนอยู่เฉยๆไม่ต้องทำงานก็มีกิน

    ปล.ถามแบบเป็นกลางนะครับไม่ได้โจมตีฝ่ายใหน ว่าจะไม่พูดถึงการเมืองแล้วแต่มันคันจิงๆ อิอิ
  • มีซิ.มาแล้วยังจ่ายตังค์ด้วย บริจาดกันและทุกวันนี้ก็ยังให้..มาทำหน้าที่ใช้หนี้แผ่นดินและมาทำบุญ
  • แหะๆ มีคนตอบและ งั้นถามต่อ...การมาประท้วงสำหรับคนมีฐานะเท่าที่ผมเห็นเค่าก็จะมากัน และมากันเป็นเวลา เช่นช่วงเย็น-ค่ำ และวันหยุด
    และก็ได้บริจากเงินและสิ่งของตามกำลังของแต่ละบุคคล และห้างร้านต่างๆ แต่ที่ผมสงสัยคือ พวกคนที่หาเช้ากินค่ำ(คนจน)
    ที่เข้าร่วมการชุมนุมต่างๆ เค่าไม่ต้องทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวกันเหลอครับ ส่วนเวลาเค่าอยู่ในกลุ่มชุมนุม มีข้าว มีน้ำ อยู่กินกันได้ไม่อดแน่
    แต่เค่าจะเอาเงินทองมาจากใหนเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวในเมือไม่ได้ทำงานเป็นเดือนๆ หรือว่าเค่าประท้วงกันเป็นอาชีพ ยกกันมาทั้งบ้าน ปักหลักอยู่กินกันในที่ประท้วงไม่ต้องทำงานหาเงิน...
  • นี้ไงครับคำตอบ อันที่จริงมาด้วยใจทักษิณก็มาก แต่ที่ปฎิเสธไม่ใด้คือส่วนหนึ่งมีการจ้าง

    สักเกตุใด้จากการที่เสื้อแดงชุมนุมแบบดาวกระจายในกรุง จะมีคนน้อยมาก คนที่มาถ้าใด้ดูข่าวบ่อยๆ จะเห็นเสื้อแดงหน้าซ่ำๆกัน

    http://www.youtube.com/watch?v=sTxFDr2JXsk
  • อิอิ....โยนหินถามทาง งั้นถามต่อ.....อยากให้พี่น้องทุกคนเปิดใจให้กว้างแล้วช้วยแสดงความคิดเห็น
    คำถาม: สำหรับวิธีแก้ใขปัญหาของประเทศไทยที่เกิดขึ้นณ.วันนี้ เราควรจะทำอย่างไรกันดีปัญหาถึงจะจบและกลับมามีความสุขกันอีกครั้ง
  • ไม่มีทาง มาถึงก้าวนี้ แตกหักลูกเดียว คนที่ไม่ยอมถอยคือ คนที่โค่นทักษิณ
    ต้องยอมรับอย่างเปิดใจเป็นกลางว่า มีความเชื่อแตกออกเป็น 2แนวทาง
    คือ 1 คนที่ไม่เชื่อว่า ทักษิณโกง เพียงแต่โดนโค่นอำนาจ ยัดเยียดความผิดให้ เพื่อไม่ให้มีอำนาจ
    2 คนที่เชื่อว่า ทักษิณโกงต้องกำจัด
    แค่นี้เอง ต้องทำไง
    บนเกมแห่งอำนาจ ขี่หลังเสือแล้ว ลงไม่ได้
    ในเมื่อฝั่งนี้ เดินหน้าฆ่าลูกเดียว ทักษิณก็ต้องสู้ พิสูจน์ความเป็นกลางได้ที่ไหน
    ปชป เป็นรัฐบาลที่มาจากการอุ้ม มีที่มาจากทหารที่ยึดอำนาจทักษิณ ประเด็นนนี้ทักษิณโทษประหารลูกเดียว
    ถ้า พท กลับมาเป็นรัฐบาล ทักษิณก็ไม่มีทางผิด
    แล้วจะจบยังไง

    ผมยืนยันว่า ผมไม่เคยเชื่อตั้งแต่ต้นว่า ทักษิณโกง
    ทักษิณโดนโค่นแบบนอกกติกา ตรงนี้สำคัญมาก
    ถ้าคุณบอกว่า ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ไม่มีข้ออ้างใดใดที่จะทำแบบนี้
    แต่ถ้าประเทศไทยไม่ได้ใช้ระบอบประชาธิปไตย ถือว่า ไม่ผิดกติกาที่จะยึดอำนาจ

    แต่เราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย คือ ระบอบของเสียงส่วนใหญ่
    เป็นระบอบที่กระจายและวัดค่าเฉลี่ยความต้องการของประชาชนในประเทศ
    ที่จะกำหนดผู้นำประเทศไปในทิศทางที่เสียงส่วนใหญ่เลือก
    อ้าว ถ้าเลือกผิดทำไง ก็ไม่ต้องไปเลือกสิครับ
    แล้วประเทศเสียหาย ถ้าเสียงส่วนใหญ่เสียหาย ก็ได้ความรู้ที่ได้เลือกผิดพลาดไง

    การทำการยึดอำนาจ คือการลัดขั้นตอน ที่ทำให้คนในประเทศเข้าใจไม่พร้อมกัน
    ฉะนั้น แน่นอนจึงต้องเกิดแบ่งขั้วแบ่งข้างแบบนี้ต่อไป

    เสื้อเหลือง อย่าอ้างเลยว่า ความรู้มากกว่าคนอื่น อย่าด่าฝั่งตรงข้ามว่ารับผลประโยชน์ทักษิณอีก
    ก้าวไม่พ้นก้าวนี้ ก็คุยไม่รู้เรื่อง
    สิ่งที่เสื้อแดงต้องการ คือ ความเท่าเทียม อำนาจนอกระบบต้องออกไป ประชาชนได้รับรู้แล้วว่า
    สิทธิ์ที่ควรจะได้จากการได้ผู้แทนราษฎร ที่ทำเพื่อประชาชนจริงๆ จะเป็นอย่างไร
    ระบอบจะกลั่นกรองอัตโนมัติ ถ้าเอามาแจกชุ่ยๆ ประเทศไปไม่รอด ประชาชนก็ไม่เอา
    วันนี้ได้เห็นคนมีอำนาจเหนือประชาชน สั่งการยุบพรรคคู่อริได้ แม้ทำกับข้าวก็ผิด

    ทำไม นักการเมืองไทยถึงถูกข้อกล่าวหาว่า โกงมาตลอดทุกยุคทุกสมัย
    เพราะนักการเมือง ไม่เคยมีความเป็นตัวของตัวเอง คุณจะทำอะไรเพื่อประชาชนจริงๆ แล้วจะไปรอดเหรอ
    ในเมื่อลงสมัครก็ต้องใช้ตัง คู่แข่งทุกพรรคก็ต้องใช้ตัง พรรคการเมืองก็ต้องมีหลายพรรค
    นี่คือเกม ที่เขาให้พวกเราเล่น
    ฉะนั้น ระบบแบบนี้ยังคงต้องเป็นต่อไป เพื่อจะบอกว่า ระบอบประชาธิปไตยนั้นสกปรกแค่ไหน

    คนไทยไม่ได้แพ้ชาติไหนในโลก ระบอบประชาธิปไตยที่ประเทศไทยใช้มีมากว่า 60ปี
    ควรจะพัฒนาไปถึงไหนได้แล้ว แต่ไปไม่ถึงไหน เพราะ ข้อหาเดิมๆ โกง ปะติวัด โกง ปะติวัด
    ประเทศอื่นเขามีเหรอ ไอ้ใบเหลืองใบแดง คิดเหรอว่า นี่คือองค์กรกิสระ
    ปปช คือ องค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ คืออะไร
    ในเมื่อ ทิศทางของประเทศถูกกำหนดโดยการเลือกตั้ง ก็แปลว่า ประชาชนเลือกแล้ว
    องค์กรเหล่านี้ตามมากำจัด แล้วสอนประชาชน เลือกคนดีเข้าสภา
    คนดี แปลว่า อะไร แปลว่าไม่โกง ดูจะเป็นความหมายเดียว

    เรื่อง เขายายเที่ยง เขาสอยดาว เรื่องเงินบริจาคพรรค ปชป ทำไมไม่มีองค์กรอิสระทำ
    ที่ทำกับข้าว รับเงินเดือน สามพัน พ้นตำแหน่งนายกฯทันที

    คนเสื้อแดง เชื่อว่า อำนาจเหนือระบบมีอยู่จริง ไม่ต้องการองค์กรบ้าบอที่ไล่สอนชาวบ้านเป็นคนดี
    ประหนึ่งว่า ตนเองมีคุณธรรม มันพ้นยุคไปนานแล้ว

    แดงมีหลายกลุ่ม หลายความคิด
    กลุ่มแรก คือ ก้าวไม่พ้นทักษิณ พวกนี้เออะก็จะเอาทักษิณ ชื่นชม อย่างที่พวกคุณด่ากัน ยอมรับว่ามี
    กล่มที่สอง คือ ก้าวพ้นทักษิณ พวกนี้เห็นความไม่เป็นธรรม เห็นความผิดเพี้ยนของระบอบ พอไม่ชอบก็ออกมาล้ม ปลุกระดมให้คนเชื่อ
    เพื่อปูทางยึดอำนาจอย่างมีเหตุผล
    กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มฮาร์ดคอร์ ไม่ใช่กลุ่มที่นิยมความรุนแรงนะ กลุ่มนี้ข้อมูลแน่นปึ๊ก แต่ห้ามพูด นี่คือข้อเสียเปรียบที่ชัดเจน

    คนไทยรับข้อมูลผังหัวอย่างกับไมโครชิพ ผมมีพี่น้องอยู่ต่างประเทศ เห็นคำวิจารณ์จากสื่อมวลชน เห็นข่าววิเคราะห์
    ฟังแล้ว อึ้ง ทึ่ง เสียวเหมือนกัน
  • คุยเรื่องการเมืองมันเครียดมาผ่อนคลายกันหน่อยครับ

    http://www.youtube.com/watch?v=xVUZm6vktus&feature=PlayList&p=E340C39ABC5D76A1&playnext=1&playnext_from=PL&index=37
  • เอาเรื่องไอ้นี้ไปอ่านบ่างคิดกันยังงัย

    วันนี้ (24 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในอินเทอร์เน็ต ตามเว็บไซต์ต่างๆ และสถานีวิทยุบางสถานี ถึงกรณีที่ นายโชติศักดิ์ อ่อนสูง อายุ 27 ปี กับพวก ถูก นายนวมินทร์ วิทยากุล อายุ 40 ปี เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ให้ดำเนินคดีต่อนายโชติศักดิ์ ฐานไม่ยืนตรงแสดงความเคารพในโรงภาพยนตร์ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างเพลงสรรเสริญพระบารมี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 ก.ย.2550 โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ร.ต.ท.โสเพชร จันทร์พลงาม พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ได้เรียกตัว นายโชติศักดิ์ มารับทราบข้อหา หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” ทั้งนี้ ระหว่างที่ นายโชติศักดิ์ เดินทางไปรับทราบข้อหานั้น ได้ถือป้ายและสวมเสื้อสกรีนข้อความ “ไม่ยืน ไม่ใช่อาชญากร คิดต่าง ไม่ใช่อาชญากรรม” ที่หน้าโรงพักด้วย
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเรื่องดังกล่าวกลายเป็นคดีความและเวลาล่วงเลยมาราว 7 เดือน คณะกรรมการกองบัญชาการตำรวจนครบาลจึงมีความเห็นให้ออกหมายเรียกนายโชติศักดิ์ มารับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัวไปชั่วคราว เนื่องจากนายโชติศักดิ์เดินทางเข้ารายงานตัวด้วยตนเอง
    นายทองใบ ทองเปาด์ อดีต ส.ว.มหาสารคาม ทนายความรางวัลแมกไซไซ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นความผิดทางอาญา มีโทษจำคุกสูงถึง 7 ปี และถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งการยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงชาติ ทุกคนต้องกระทำด้วยความสุภาพ ยืนตัวตรง ห้ามแกว่งแขน หรือยืนยิ้ม ต้องยืนด้วยความสงบเรียบร้อย ซึ่งในอดีตเคยมีเหตุการณ์นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต้องติดคุก 2 ปี เพราะไม่ลุกขึ้นยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี ขณะไปฟังการปราศรัยที่ท้องสนามหลวง โดยเฉพาะในโรงภาพยนตร์จะมีข้อความระบุไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า “โปรดยืนถวายความเคารพ”
    “แม้จะอยู่ ณ ที่แห่งใด เมื่อได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงชาติ ทุกคนต้องยืนตัวตรงนิ่งทำความเคารพ” นายทองใบ กล่าว
    ทนายความผู้นี้ ระบุด้วยว่า หากบุคคลใดเห็นหรือแจ้งความเอาผิดกับผู้ที่ไม่ลุกขึ้นยืน หรือยืนไม่สุภาพ และมีพยานเห็นชัดเจน เจ้าหน้าที่ตำรวจจะรับแจ้งความอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้น และนำเรื่องขึ้นสู่ศาลฎีกามาแล้ว
    อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีไปยังตำรวจ สน.ปทุมวัน แต่ได้รับการปฏิเสธ โดยระบุว่าคดีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่มีรายงานแจ้งว่า ในแนวทางการสืบสวนของตำรวจจะนำพยานหลักฐานต่างๆ มาอ้างอิง จากนั้นจะสรุปสำนวนส่งฟ้องศาล ซึ่งมีโทษถึงขั้นติดคุก เนื่องจากการที่ใคร หรือบุคคลใดก็ตาม ไม่ยืนถวายความเคารพต่อทั้งเพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี ถือว่าบุคคลผู้นั้น มีความผิดทางอาญา หมิ่นเบื้องสูง ต้องถูกดำเนินคดี
  • ทั้งนี้ การวิพากษ์วิจารณ์ในเว็บไซต์ต่างๆ เกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในเว็บไซต์พันทิป นายโชติศักดิ์ได้เข้าไปโพสต์ชี้แจงและอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดว่า “เมื่อวาน(20 ก.ย.) ผมและเพื่อนชื่อ ชุติมา ได้เข้าไปดูหนังที่ชั้น 9 เซ็นทรัลเวิลด์ (หนังรอบ 19.15 น. แต่ผมเข้าโรงประมาณ 19.30 น.และเมื่อถึงเพลงสรรเสริญ ผมและเพื่อนก็ไม่ได้ยืน (แต่นั่งด้วยความสงบและได้หยุดรับประทานขนมและน้ำ) ซึ่งผมและเพื่อนปฏิบัติเช่นนี้มานานแล้ว ปรากฏว่า ผม (คนเดียว) ถูกปาด้วยกระดาษที่ขยำเป็นก้อนขนาดเล็กกว่าลูกเทนนิสถูกบริเวณต้นคอ ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะเคยเจอแบบนี้มาแล้ว 1-2 ครั้ง ต่อมาเมื่อเพลงเล่นไปประมาณกลางเพลง ชายคนmcalmontที่นั่ง (ตอนนั้นเขายืน) อยู่ถัดเพื่อนผมไปทางซ้ายมือ 2-3 ที่นั่ง ทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายนวมินทร์ หันบอกให้ผมและเพื่อนลุกขึ้นยืน โดยเขาพูดเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งผมและเพื่อนก็ไม่ได้สนใจเขาจนเพลงจบชายคนนั้นจึงเดินไป ตามพนักงานโรงหนังมา (ทราบเพียงชื่อเล่นว่านิค) และบอกให้พนักงานคนดังกล่าวเชิญผมและเพื่อนออกไป พนักงานจึงบอกกับเขาว่า “พี่ใจเย็นๆ” และผมได้บอกกับพนักงานว่า “ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำไม่ผิด แต่ต่อให้ผิดโรงหนังก็ไม่ต้องกลัวเดือดร้อนเพราะไม่เกี่ยวกับโรงหนัง”
    หลังจากนั้น พนักงานก็ถอยไปยืนบริเวณทางเดินด้านข้าง ชายคนนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วกรีดร้องและเริ่มด่าผมและเพื่อน เช่น ทุเรศ, ทำไมไม่รักในหลวง เป็นคนไทยซะเปล่าขนาดฝรั่งยังยืนเลย พร้อมกับไล่ผมและเพื่อนให้ออกไปจากโรงด้วยอาการที่เกรี้ยวกราด ซึ่งระหว่างนั้นเขามีม้วนกระดาษอยู่ในมือ และใช้มันชี้หน้าเพื่อนของผมอยู่ตลอดเวลา และเมื่อเขาพูดจบ (รอบแรก) คนอื่นๆ ในโรงก็ปรบมือให้กับเขา หลังจากนั้นชายคนนั้นก็เดินเข้ามาด่าเพื่อนผมอีกครั้ง เพื่อนผมจึงตอบไปว่า “เงียบหน่อยค่ะ” และผมพูดว่า “ถ้าพี่มีปัญหาพี่ก็ออกไป ผมนั่งสบายดี ไม่มีปัญหา และผมจะไม่ออกไปเพราะผมจะดูหนัง”
    หลังจากนั้นชายคนนั้นก็เดินเข้ามาด่าผมและเพื่อนอีกครั้ง และได้ขว้างม้วนกระดาษในมือมา โดนบริเวณหน้าอกของเพื่อนผม พร้อมชี้นิ้วมาที่หน้าเพื่อนผมในระยะห่างประมาณ 2 คืบ พร้อมกับกระชากกล่องป๊อปคอนในมือเพื่อนผม แล้วสาดมันใส่ผมและเพื่อนแล้วขว้างกล่องป๊อปคอนโดนเพื่อนผม และกระเด็นมาโดนผมด้วยแล้วปัดแก้วน้ำอัดลมที่วางอยู่ที่ที่วางแขนจนตกแตก ซึ่งในขณะนั้น คนอื่นๆ ในโรงก็เริ่มด่าและไล่ผมและเพื่อนผม และเพื่อนจึงยืนขึ้น และผมได้โทร.ไปที่ 191 ทันที และเดินคุยโทรศัพท์กับตำรวจ จนออกมานอกโรงระหว่างที่เดินออกจากโรง ผมเดินผ่านหน้าชายคนนั้น เขาได้ชี้มาที่เสื้อผม แล้วด่าว่า “ใส่เสื้อบ้าอะไร”
    เมื่อออกมานอกโรงหนัง ผมกับเพื่อนรอจนพบกับตำรวจ และบอกกับตำรวจว่าจะรอคู่กรณีเพราะกลัวเขาหนีไป พอหนังจบคนดูทั้งหมดออกมาตรงประตูทางออก ผมกับเพื่อนได้เข้าไปในโรงหนังอีกครั้ง โดยตั้งใจจะเข้าไปถ่ายรูปสถานที่เกิดเหตุ แต่ยังไม่ทันได้ถ่าย ผู้จัดการโรงหนังได้เข้ามาบอกว่าไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปในโรง เพราะเป็นกฎ ถ้าจะถ่ายต้องทำเรื่องมา ผมจึงขอให้ตำรวจที่ตามเข้าไปมาดูที่เกิดเหตุแทน หลังจากนั้น ผมออกไปนอกโรงหนัง พบคู่กรณีและคนดูคนอื่นๆ ยืนรวมกันอยู่กับตำรวจอีกนาย ผมจึงเดินทางไป สน.ปทุมวัน และคู่กรณีได้ตามมาทีหลัง เมื่อถึง สน.ตำรวจได้ให้ผมและลงบันทึกประจำวันและได้ทำเรื่องส่งผมไปตรวจร่างกายที่ รพ.ตำรวจ (ตำรวจบอกว่ามันเป็นขั้นตอนของทางการ)
  • โดยทางร้อยเวรได้นัดผมไปแจ้งความและสอบปากคำ เมื่อบ่ายวันนี้ (21 ก.ย.) ส่วนหมอที่ รพ.ตำรวจ ได้นัดผมมาฟังผลเมื่อเช้าวันนี้ เมื่อเช้าผมจึงไปฟังผลที่ รพ.ตำรวจ และกลับมาที่สน.ตอนบ่าย ระหว่างรอตำรวจเจ้าของคดีเล่าให้ผมฟังว่า “คู่กรณีจะแจ้งความผมกับเพื่อนในข้อหา “หมิ่นพระบรมฯ” ถ้าผมกับเพื่อนจะดำเนินคดีคู่กรณี” ดังนั้น เท่าที่ผมทราบล่าสุด คือ ผมและเพื่อนยังไม่ถูกแจ้งข้อหาหมิ่นพระบรมฯ
    อย่างไรก็ตาม ผมและเพื่อนก็ได้เข้าแจ้งความตามนัด โดยแจ้งคนละ 4 ข้อหา ของผมมี 1.ดูหมิ่นซึ่งหน้า 2.ร่วมกันทำร้ายร่างกาย 3.ทำให้เสียทรัพย์ 4.ร่วมกันบังคับข่มขืนใจให้กระทำหรือไม่กระทำการ
    ส่วนของเพื่อนผมมี 1.ดูหมิ่นซึ่งหน้า 2.ทำร้ายร่างกาย 3.ทำให้เสียทรัพย์ 4.ร่วมกันบังคับข่มขืนใจให้กระทำหรือไม่กระทำการ (ต่างกันตรงข้อกล่าวหาที่ 2.ซึ่งผมถูกทำร้ายจากคน 2 คน แต่เพื่อนผมถูกทำร้ายจากคนคนเดียว) นอกจากนั้น คุณสหายดอกหญ้าได้โทร.ไปเสนอให้ผมและเพื่อนฟ้องชายคนนั้น ข้อหาก่อความวุ่นวายในที่สาธารณะเพิ่มอีก 1 คดี ซึ่งเพื่อนผมที่เป็นทนายกำลังดูข้อกฎหมายอยู่ สรุปก็คือ ผมและเพื่อนได้แจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีเขาไปแล้ว ส่วนว่าเขาจะแจ้งผมกลับหรือไม่
    หมายเหตุ* ตอนเกิดเหตุ ผมใส่เสื้อรณรงค์ของเครือข่าย 19 กันยาฯ ซึ่งขณะนี้ผมกำลังตัดสินใจว่าจะเสนอให้เครือข่ายฯ ฟ้องเขาด้วยดีหรือไม่ เพราะผมมองว่ามันเป็นการหมิ่นเครือข่ายฯ แต่มีแนวโน้มว่าคงไม่เสนอ - ส่วนสิ่งที่สหายดอกหญ้าโพสต์ในกระทู้ เกี่ยวกับกรณีนี้นั้นคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ซึ่งคงเป็นเรื่องของการสื่อสาร เพราะโทรคุยกันด้วยความเร่งรีบมากๆ
    หลายคนอาจจะคิดว่า นี่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ผมและเพื่อนมองว่า มันคือประเด็นที่ต้องต่อสู้ เพื่อยืนยันความคิดความเชื่อ 3 ประเด็น คือ 1.เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ยืน 2.ถ้ามีกฎหมายที่บังคับให้เรายืน กฎหมายนั้นละเมิดสิทธิ์เราและกฎหมายนั้นต้องถูกยกเลิก 3.ไม่ว่าใครจะทำอะไร ผิดถูกอย่างไร เขาต่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่จะไม่ถูกทำร้ายร่างกาย หรือถูกดูหมิ่น ผมและเพื่อนอยากให้เป็นบรรทัดฐานว่า การกระทำแบบชายคนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และต้องได้รับโทษ นอกจากนั้น ผมและเพื่อนได้ตัดสินใจแล้วว่าจะปฏิบัติการยืนยันสิทธิ์ของเราอีก ซึ่งอยากเชิญชวนทุกท่านที่รักอิสรภาพ รักความเสมอภาค และต้องการต่อสู้กับความอยุติธรรมโปรดปฏิบัติการร่วมกัน ผมไม่ได้คาดหวังคนมากมาย มี 10 คน ก็ไป 10 คน มี 5 คน ก็ไป 5 คน มี 2 คน ก็ไป 2 คน แต่ก่อนที่จะไป หากมีคนสนใจก็อยากให้ช่วยกันพูดคุยด้วยว่าเราไปปฏิบัติการที่ไหน, วันไหน (วันธรรมดาหรือเสาร์อาทิตย์ดี), หนังเรื่องอะไร และรอบกี่โมง เมื่อได้ความชัดเจนแล้วอาจจะมีจดหมายเชิญชวนที่ค่อนข้างทางการออกมาอีกครั้ง
    หมายเหตุ (อีกครั้ง) เป็นความบังเอิญเหลือเกิน ที่วันที่ 20 กันยายน 2550 เป็นวันสำคัญสำหรับผม 2 โอกาส คือ 1) เป็นวันครบรอบ 3 ปี การก่อตั้งนิตยสารนักศึกษาQUESTIONMARK (ซึ่งเป็นอดีตไปแล้ว?) และ 2) เป็นวันครบรอบ 1 ปี การก่อตั้งเครือข่าย 19 กันยา ต้านรัฐประหาร (ซึ่งยังมีอยู่หรือเปล่า?) อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ไปดูหนัง เนื่องในโอกาสพิเศษใดๆ เพียงแค่ต้องไปซื้ออุปกรณ์ทำงานแถวนั้น แล้วบังเอิญเกิดอารมณ์อยากดูขึ้นมา”

    นายโชติ อ่อนสูง
    1053/10 ซอยเยาวราช สุขุมวิท 71 คลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ


    ความคิดเห็นส่วนตัวผม : เจอแบบนี้ต้องกระทืบสถานเดียว...แม่งระยำจิงๆ ไอ้พวกอ่างตัวว่ามีการศึกษา ต้องการเสรีภาพ ถุย!!! แม่งต้องไปอยู่อเมริกาไม่ใช้ประเทศไทย
    บ้านนี้เมืองนี้เกิดขึ้นมาได้เพราะบรรพชนไทย เพราะราชวงค์จักรกรี บ้านนี้เป็นของพระองค์ท่านเราทุกคนเป็นเพียงแค่ผู้ขอผึ่งพระบารมีอาศัยอยู่แผ่นดินนี้
    ที่มีประชาธิปะไตรมาได้ก็เพราะพระกรุณาประธานมาให้กันประชาชนชาวไทยได้มีสิทธิมีเสียง แม่งกับหลงในสิทธิในเสียงตีตนเสมอเจ้านาย "ไอ้พวกสัตนรก"
    ไฟล์แนบ
    5daa37862b443bf.jpg 42K
  • ดูแล้วแอบอมยิ้มเลย คริๆๆ
  • พวกเสื้อแดงชอบคิดว่าพวกตัวเองมาชุมนุมเยอะเพราะไม่เคยเห็นแบบนี้

    http://www.youtube.com/watch?v=Xf5eYWGdHro&feature=related
  • ยิ้มยังงัยครับพี่ผี...ยิ้มเพราะเห็นด้วยกับมันที่ไม่ยืนแสดงความเคารพกับเพลงสรรเสริญพระบารมีเหลอครับ...ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็ไม่ควรเป็นคนไทย
  • ทั้งสามกลุ่ม ต้องใช่ ทักษิณ เป็นสัญลักษณ์ในการเดินหน้า
    ก็สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทักษิณทวงเงินคืน เสื้อแดงได้ทักษิณเป็นผู้นำที่สมน้ำสมเนื้อหน่อย

    หากวันนี้แดงแพ้ แดงก็จะกลับมาใหม่ อย่างช้าสุด ไม่เกิน 12ปี
    เพราะ เหมือนกงล้อประวัติศาสตร์ ที่รัฐประหารเกิดขึ้นเป็นประจำในประเทศไทย
    คนไทยดูเหมือนจะถูกใส่สมองว่า นักการเมืองโกง เหมือนเดิม

    ระบอบประชาธิปไตย ไม่มีเรื่องจริยธรรม หรือคุณธรรมมาเกี่ยวข้อง
    ดูอย่างอเมริกา หลังจากการเลือกตั้งที่ บุชผู้ลูกได้รับเลือก
    วันรุ่งขึ้น พาดหัวข่าวว่า สงครามอิรักมาแน่ เพราะอะไร
    เพราะ ผู้สนับสนุน รีพับบิกัน คือผู้ค้าอาวุธ กับผู้ค้าน้ำมัน
    การบุกอิรัก เหมือนได้ 2เด้ง ได้ใช้อาวุธที่ตนเองผลิต (ไม่ต้องเสียค่าเก็บรักษา ได้โฆษณาขายอาวุธผ่าน CNN ด้วยว่าอาวุธไอ้กันเจ๋งขนาดไหน)
    และได้สัมปทานน้ำมันอิรักอีกด้วย
    ถามว่า นี่หรือ คุณธรรมหรือจริยธรรม
    ในเมื่อ เสียงส่วนใหญ่เลือก บุชไป อีกหน่อยก็ได้ เวิล์ดเทรดถล่มตามมา ก็อีกนั่นและ สังคมอมริกันต้องตอบคำถามกันเอาเองผ่านกระบวนการเลือกตั้ง

    กลุ่มทุนในเมืองไทบ ก็เช่นกัน ต้องวิ่งเข้าพรรคการเมือง เพื่อให้ได้งาน เพื่อให้ได้เปรียบทางธุรกิจ เช่น
    โครงการถนนไร้ฝุ่น ขึ้นภาษีเบียร์ไม่ขึ้นเหล้า การทำแบบนี้ก็คือการกำหนดชี้ทิศทางประเทศเช่นกัน
    ได้เพื่อไทยมา ก็เซ็น เอฟทีเอ พอเซ้น เอฟทีเอ ก็ต้องมาดูว่า ใครได้ใครเสีย
    สังคมไทยก็ต้องตอบปัญหาเอง ว่าจะเอาใคร ยอมรับซึ่งกันและกัน

    กลุ่มทุนเก่า เกาะกับพรรคเก่า เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ไปสะกิดผู้มีอำนาจให้ยึดอำนาจ
    บอกสิว่า ไม่มีอำนาจเหนือระบบจริง ถ้าไม่มี ใครจะมีปัญญายึดอำนาจได้
    เมื่อ กลุ่มทุนใหม่อยู่ไม่ได้ ก็ต้องลงมาเล่นการเมือง เมื่อตนเองไม่มีสายสัมพันธ์กับอำนาจนอกระบบ
    ก็เป็นเหมือน ชาติชาย ทักษิณ ปรีดีย์
    แม้กระทั่ง ตัวทักษิณที่เติบมาได้ขนาดนี้ ก็ต้องอิงอำนาจนอกระบบ ดั่งในรูปที่กอดคู้บิ๊กจ๊อด
    ในเมื่อระบบมันเป็นแบบนี้ มันผิดหรือ ที่ผมเป็นแดง

    ใครได้รับเลือก ก็เอาอำนาจไปเลย กำหนดไปเลยว่าได้กี่ปี
    ใครเอาอำนาจไป แล้วเหลิงอำนาจ ก็จะโดนไปตามกรรมเอง
  • อย่าเอาสถาบันมาพูดเลย คนอีกฝ่ายมันพูดไม่ได้
  • คนจริงไม่คุยโว้ย.......

    http://www.youtube.com/watch?v=Xf5eYWGdHro&feature=related
  • ไอ้เรื่องที่ยกเอามามันไม่ใช้แดง เหลือง หรือสีอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ยกตัวอย่างว่ายังมีคนไทยที่คิดแบบนี้อีกหรือ ส่วนตัวผมรับไม่ได้ และไม่รับแน่นอน เจอที่ใหนเหตุการณ์แบบนี้เป็นเรื่องแน่
  • รู้สึกว่าผมไม่อยู่สองวันพี่ผีสีเหลืองจะเอาใหญ่แล้ว ตัวจริงมาแล้ว..........

    http://www.youtube.com/watch?v=Xf5eYWGdHro&feature=related
  • คุยกันเสร็จหรือยังครับ.....

    http://www.youtube.com/watch?v=iWy1E6u0k4M
  • แล้วตกลงใครมันคนส่วนมากเหรอส่วนน้อยของประเทศกันแน่ว่ะ
  • เกียจเสื้อเหลืองๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    กูหละเบื่อ
    ถ้าไม่มีมารเสื้อเหลือง
    ประเทศนี้จะดีขึ้นเยอะ
    ไอ่ผีตัวที่ว่ามีตรายางไว้ปั้มเปลี่ยนบัตรลงคะแนน
    แน่จริงมึงไปบอกไอ้เหี้ยอภิสิทธิ์ ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ดูดิ ว่าจะชนะป่าวอิโด่
    ไอ้พวกเด็กเส้นคว...........ย
  • :019:น่าเบื่อวะ ไอพวกเสื้อสี กูไม่ใส่เสื้อโว้ย!!!!
    บางวันกางเกงก็ไม่ใส่เจ็งปะ
  • ผมรักทักษิณนะครับ ไปรวมม๊อบบ้างเป็นครั้งคราว แต่ช่วงหลังกำลังคิดอยู่ว่าจะลาออกจากการเป็นเสื้อแดงดีหรือเปล่า
    เพราะพฤติกรรมของแกนนำชักไปกันใหญ่ การชุมนุมก็เริ่มมีการนำเอาธงชาติเขรมมาโบก ปราศัยจาบจวงสถาบัน เชิดชูฮุนเซนจนออกนอกหน้า
    ผมว่าผมเริ่มทนไม่ไหว แต่ก็พูดไม่ออก ผมชอบทักษิณนะแต่ถ้าทักษิณเล่นแบบนี้ มวลชนหายแน่นอน
  • ตามคำแถลงปิดคดียึดทรัพย์ของกลุ่มผู้คัดค้าน เริ่มยอมรับแล้วว่า ประเด็นที่ คตส. อ้างถึงวินมาร์ค?แอมเพิลริช- การรายงาน 246-2 โดยยูบีเอสนั้น เป็นเรื่องที่มีนัย แต่ที่สรุปพิรุธก็คือ ในการแก้ข้อกล่าวหานั้น สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว ทำได้ดีที่สุดคือ เพียงบอกว่า ยูบีเอส ?อาจ? เข้าใจผิด จึงรายงานโดยไม่เป็นไปตามกฎหมาย

    ในฐานะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นลูกค้ารายใหญ่ของ ธ.ยูบีเอส ตั้งแต่ราวๆ ปี 2543 จ่ายค่าธรรมเนียมกรณีแอมเพิลริช (เชื่อว่า วินมาร์ค ด้วย) ตั้งเท่าไร หาก ธ.ยูบีเอสรายงานผิดจริงๆ การแจ้งให้ ธ.ยูบีเอส ยอมรับว่า หุ้นในส่วนของวินมาร์คนั้น ไม่ใช่ของครอบครัวชินวัตร แต่เป็นของ นายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ตามคำให้การของครอบครัว การนับรวมหุ้นกับแอมเพิลริช ซึ่งเป็นของครอบครัวชินวัตรดังที่ทำรายงาน 246-2 ไปนั้น จึงไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในเมื่อไม่ใช่ของบุคคลเดียวกัน ก็ต้องยกเลิกรายงาน 246-2 ให้เป็นโมฆะ ซึ่งน่าจะทำได้ง่ายมาก ตั้งแต่ปี 2544 (ปีที่รายงาน) ปี 2549 (ปีที่มีการสอบถามเพิ่มเติมและชี้แจง) หรือปัจจุบัน ก็ไม่เคยทำ ทำได้ดีที่สุดแค่ ?อาจ? เป็นเพราะเข้าใจผิด จึงทำให้ขาดน้ำหนักในการโต้แย้ง โดยสิ้นเชิง
  • รายละเอียดในเรื่องนี้มีดังนี้

    พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกได้อ้างถึงข้อกล่าวหา คตส.ว่า หลักฐานสำคัญอีกประการหนึ่ง คือพฤติการณ์จัดการดูแลหุ้นชินคอร์ป ที่เกิดขึ้นในบัญชียูบีเอส ในช่วงปี 2544 ที่ได้เริ่มมีการย้ายหุ้นชินคอร์ปของวินมาร์ค จำนวน 54,059,130 หุ้น (ตามรายงาน คือ 5,405,913 หุ้น ก่อนแตกราคาพาร์) ซึ่งเปิดบัญชีฝากไว้ในนามยูบีเอส บัญชีเลขที่ 800248002 ที่ธนาคารซิตี้แบงก์ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็น custodian ก่อน จากนั้นจึงได้มีการย้ายหุ้นหุ้นชินคอร์ป 100 ล้านหุ้น (10 ล้านหุ้นก่อนแตกราคาพาร์) ของแอมเพิลริชไปฝากไว้กับยูบีเอส ในบัญชีเดียวกันกับบัญชีหุ้นชินคอร์ปของวินมาร์ค บัญชีเลขที่ 800248002 เมื่อเดือนสิงหาคม 2544

    จากนั้น ยูบีเอสก็ได้มีหนังสือรายงาน (246-2) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ว่าธุรกรรมดังกล่าวได้ยังผลให้ธนาคารต้องรับดูแลจัดการหุ้นชินคอร์ปของบุคคลหนึ่งเพิ่มขึ้นเกินระดับ 5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ตามหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต. จึงได้รายงานให้ ก.ล.ต.ได้ทราบ ซึ่งแสดงว่า ยูบีเอสได้พบว่าทั้งวินมาร์คและแอมเพิลริช เป็นของบุคคลเดียวกัน จึงต้องนำหุ้นทั้งสองมารวมเข้าด้วยกัน... แล้วคิดเป็น 5.24% ของยอดหุ้นชินคอร์ปทั้งหมด ซึ่งเมื่อเพิ่มจนเกินระดับ 5% (จุดเงื่อนไขต้องรายงาน triggered point) เช่นนี้แล้วยูบีเอส จึงมีหน้าที่ต้องรายงานต่อ ก.ล.ต.ไทยตามกฎหมาย

    พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า ?เรื่องบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สิน (custodian) เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยไม่มีพยานหลักฐานว่า หุ้นจำนวน 100 ล้านหุ้น และหุ้นจำนวน 54,059,130 หุ้น เป็นของใคร และบุคคลเดียวกันจะหมายถึงใคร ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบ โดยข้าพเจ้ารู้เพียงว่ายูบีเอส เป็นบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สิน ที่ให้บริการจัดการดูแลหุ้นและหลักทรัพย์ ซึ่งย่อมจะให้บริการแก่ลูกค้ารายอื่นด้วย

    การที่ยูบีเอสนำหุ้นชินคอร์ปของลูกค้าทุกรายที่ตนดูแลอยู่มารวมไว้ในบัญชีเดียวกัน บัญชีเลขที่ 800248002 ซึ่งเป็นบัญชีของยูบีเอส ก็เป็นเรื่องของยูบีเอสเอง เพราะมีฐานะเป็นบริษัทผู้รับฝากสินทรัพย์ คือหุ้นดังกล่าวทั้งหมด โดย ?อาจ? เห็นว่าเป็นหุ้นชินคอร์ป เหมือนกันจึงนำมารวมในบัญชีเดียวกัน ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่ายูบีเอส คงจะต้องมีบัญชีและหลักฐานที่แสดงชัดเจนว่าหุ้นทั้งหมดในบัญชีดังกล่าวเป็นของผู้ใดและจำนวนเท่าใดบ้าง?

    หากยูบีเอส นำหุ้นมารวมในบัญชีเดียวกันจริง ยูบีเอส ?อาจ? เห็นว่าเมื่อตนเป็นผู้ดูแลหุ้นของลูกค้าในบัญชีดังกล่าว เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนถึงเกณฑ์ต้องรายงาน จึงได้ดำเนินการรายงานต่อ ก.ล.ต. แต่ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทั้งหมดเป็นของบุคคลเดียวกัน และเป็นของข้าพเจ้าและคู่สมรส... การเป็นของบุคคลเดียวกัน บุคคลนั้นน่าจะหมายถึงยูบีเอสนั่นเอง มิใช่ข้าพเจ้าและคู่สมรส ยูบีเอสจึงรายงานให้ ก.ล.ต.ในฐานะบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สินทั้งหมดแทนผู้ถือหุ้นอื่นทุกคนที่เป็นเจ้าของที่แท้จริง
  • คำชี้แจงแบบข้างๆ คูๆ เช่นนี้ ไร้ความน่าเชื่อถือ ด้วยหลักฐานและเหตุผล ดังต่อไปนี้

    1. การรายงาน 246-2 ซึ่ง ธ.ยูบีเอส ทำเมื่อเดือนสิงหาคม 2544 เป็นการรายงานตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ฯ 2535 มีเป็นภาษาอังกฤษเรียบร้อย โดยมีเนื้อหาสรุปว่า ?Securities of a business held by the following persons or partnerships shall be regarded as securities held by the person referred to in Section 246 and Section 247: (1) the spouse of such person; (2) a minor child of such person; ?(4) a limited partnership in which such person or the person under (1) or (2) is an unlimited liability partner or a limited liability partner who collectively holds contribution in an amount exceeding thirty percent of the total contribution of the limited partnership; ?

    กล่าวคือ การทำรายงานนี้ ไม่ใช่ใครนึกจะเอาหุ้นของคนอื่นมารวมกันโดยไม่ได้เป็นไปตามข้อกฎหมายมาตรา 246 และ 258 นี้ก็ไม่ถูกต้อง การที่ ธ.ยูบีเอส รายงานไปนั้น จึงทำตามกฎหมายนี้ จะอ้างว่าไม่ทราบกฎหมายก็คงไม่ได้ ด้วยมีภาษาอังกฤษแปลไว้ชัดเจน จะอ้างว่า ก.ล.ต.ก็ยอมรับว่าวิธีปฏิบัติของแต่ละรายในการแจ้งรายชื่อผู้ถือหุ้นมีวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกัน เช่น บางรายแจ้งเป็นชื่อลูกค้า บางรายก็แจ้งเป็นชื่อบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สินก็ไม่น่าเชื่อถือ เพราะด้วยฐานะลูกค้ากลับไม่ให้ยูบีเอสตอบให้ชัดในประเด็นนี้อย่างเจาะจง

    2. แม้ในปี 2549 ประมาณ 5 ปีต่อมา ตามที่มีหนังสือโต้ตอบระหว่างสำนักงาน ก.ล.ต. และ ธ.ยูบีเอส เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า รายงาน 246-2 นี้มีความผิดพลาดหรือไม่? ปรากฏตามหนังสือแถลงข่าวของสำนักงาน ก.ล.ต. ว่า ธ.ยูบีเอสได้มีหนังสือลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อชี้แจงสำนักงาน ก.ล.ต. ว่า ?รายงานแบบ 246-2 เป็นความผิดพลาด ทั้งนี้ รายการดังกล่าวไม่ใช่เป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ราคาหุ้นละ 179 บาทแต่อย่างใด? แต่ไม่ได้แก้ไขว่า นับรวมหุ้น 10 ล้านหุ้น กับ 5.4 ล้านหุ้นมิได้เป็นของบุคคลเดียวกันตามมาตรา 246 และ 258 เลย แสดงว่าหลังจากการ ?ตรวจสอบแล้ว? มีการแก้ไขเฉพาะจุดเล็กๆ แต่ไม่แก้ประเด็นการรวมหุ้นของบุคคลเดียวกัน ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดรายงานนี้ จึงยังเป็นการยืนยันว่า เป็นการรวมหุ้นของบุคคลเดียวกันจริง แล้วผ่านจุดที่ต้องรายงาน (triggered) ตามกฎหมายนั่นเอง

    ทุกท่านลองคิดดูได้ครับว่า หากมีการถามเพื่อความชัดเจน จะได้ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หมดข้อสงสัยว่าเป็นเจ้าของหุ้นทั้ง 2 จำนวนหรือไม่ การได้ทบทวนแล้วบอกว่า หุ้นวินมาร์คเป็นของ นายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ต้องไม่นับรวมกับหุ้น 100 ล้านหุ้นของแอมเพิลริช ของครอบครัวชินวัตรนั้น รายงานนี้ก็ยกเลิกเป็นโมฆะ ก็จะไม่ง่ายกว่าหรือ จะไม่ชัดกว่าหรือ ปรากฏว่า ได้แก้ไขเพียงเรื่องการซื้อนอกตลาดฯ และไม่ใช่ราคา 179 บาทเท่านั้นเอง ปล่อยให้เป็นเรื่อง ?อาจจะ? ต่อไป

    แน่นอน หากหลงไปถามคำถาม ธ.ยูบีเอสกว้างๆ ว่า หุ้นทั้งหมดที่ ธ.ยูบีเอสดูแล เป็นของใครบ้าง ยูบีเอสย่อมตอบไม่ได้ เพราะต้องรักษาความลับ (Confidentiality) ของลูกค้า แต่ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะลูกค้า จะแจ้งต่อยูบีเอสว่า ให้รับรองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และบรรดาบริษัท หรือกองทุนที่ถือต่อกันเป็นทอดๆ นั้น มีเพียง 100 ล้านหุ้นนั้น ส่วนอีก 54 ล้านหุ้นเศษนั้นไม่ใช่ ย่อมทำได้ แต่ไม่เคยได้ทำ

    แต่เป็นเพราะ ธ.ยูบีเอส เป็นธนาคารที่ทำหน้าที่นี้ระดับโลก โดยทำหน้าที่ในหลายๆ ประเทศ เขาไม่ยอมรับหรอกว่า ได้ทำหน้าที่รายงาน 246-2 ไปโดยไม่เข้าใจกฎหมายของประเทศไทยว่าต้องนับรวมของกลุ่มบุคคลเดียวกันตามกฎหมายเท่านั้น และก็จะไม่ยอมแจ้งเท็จอย่างจงใจ เพื่อปกปิดความผิดของใครด้วย

    3. ฝ่ายผู้คัดค้านได้อ้างว่า มีพยานเอกสารของนายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ซึ่งเป็นคำชี้แจงโดยรับรองจากศาลดูไบ ยืนยันว่า นายมาห์มูด เป็นเจ้าของบริษัท วินมาร์คที่แท้จริงเพียงผู้เดียว ก็น่าแปลกใจว่า ก่อนหน้านี้ ไม่เคยแสดงตัวเลย แต่หลังจากกองทุนเหล่านี้ขายหุ้นไปหมดแล้วจึงปรากฏตัว นี่เป็นเพราะความเสี่ยงที่จะถูกนายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ยึดเอาหุ้นไปหมดแล้ว จึงปรากฏชื่อมาหรือไม่?
    เรื่องการอ้างถึง นายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ช่างขัดกับพฤติกรรมการปกปิดมากว่า 10 ปี ดังนี้
  • 1) วันที่ 1 สิงหาคม 2543 วินมาร์คได้มาซื้อหุ้น (1) พี.ที. คอร์ปอเรชั่น (2) เอสซีออฟฟิซ ปาร์ค (3) เวิร์ธ ซัพพลายซ์ (4) โอเอไอ พร็อพเพอร์ตี้ (เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (มหาชน) : SC) (5) เอส ซี เค เอสเทต (6) บี.พี. พร็อพเพอร์ตี้ ทุกบริษัท ที่ราคาพาร์ (แม้กระทั่งบริษัทที่ชำระหุ้นเพิ่มทุนเพียงบางส่วน)

    โดยในวันที่ 11 กันยายน 2543 ประชาชาติธุรกิจ ได้พาดหัวข่าวใหญ่โดยคุณ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ว่า ?ตะลึง! ?ทักษิณ? โอนหุ้น 900 ลบ. เข้าบริษัทบนเกาะฟอกเงิน? ในวันที่ 12 กันยายน 2543 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ ที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย การขายหุ้นอสังหาริมทรัพย์ 5-6 บริษัทให้แก่กองทุนวินมาร์คนั้น ?เป็นการขายหุ้นให้แก่นักลงทุนต่างประเทศธรรมดา ไม่มีอะไรที่พิสดาร มีการโอนขายไป 500-600 ล้านบาท หรือ 700-800 ล้านบาท จำนวนเท่าไหร่ จำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ ขายไปในราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท ตอนนี้ต้องยอมรับว่า ตอนนี้อสังหาริมทรัพย์ในตลาดต่ำกว่าราคาพาร์ทั้งนั้น เราขายได้ราคาพาร์ในช่วงนี้ก็ถือว่าเฮงแล้ว?

    ข้อพิรุธคืองบการเงินแต่ละบริษัทในช่วงนั้นของแต่ละบริษัทย่อมแตกต่างกันไป เช่น เวิร์ธ ซัพพลาย มีมูลค่าทางบัญชีหุ้นละ 7.3-7.4 บาท ปี 2543 ขาดทุน 118 ล้านบาท คิดเป็น 2.68 บาทต่อหุ้น ก็ขายที่ 10 บาท บี.พี.พร็อพเพอร์ตี้ (เดิมคือ บริษัท บัสซาวด์) มีมูลค่าทางบัญชีหุ้นละ 5.5-5.7 บาท ปี 2543 ขาดทุน 13.6 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุน 0.40 บาทต่อหุ้น ก็ขายที่ 10 บาท ต่างกับกรณีขายหุ้นให้เทมาเส็กโดยสิ้นเชิงที่โอนครั้งเดียวแลกหุ้น ด้วยราคาที่ต่อรองกันจนสรุปได้ที่ 49.25 บาทต่อหุ้นจริง ไม่ใช่เหมาที่ราคาพาร์เช่นนี้ ซึ่งเหมือนการโอนในครอบครัวมากกว่าที่ทุกรายการในครอบครัวชินวัตร ก็ทำที่ราคาพาร์ (นอกจากหนี้ปลอม 3,000 ล้านบาท ค่า TMB-C1 ทำที่ 10 บาท ทั้งที่ต้นทุนหญิงอ้อเป็นศูนย์)

    2) ผู้สื่อข่าวถามว่า ?บริษัทที่ขายหุ้นให้กับต่างชาติก็ผลประกอบการไม่ค่อยดีนัก ทำไมนักลงทุนถึงสนใจซื้อ? ทักษิณตอบว่า ?ที่ต่างชาติสนใจซื้อเพราะบริษัทจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในโอกาสต่อไป? แต่ความจริงใน 6 บริษัทที่วินมาร์คซื้อไปนี่ มีบริษัทเดียวที่เข้าตลาดฯ ได้ คือ บ. โอเอไอ พร็อพเพอตี้ (ปัจจุบันคือ SC) แต่วินมาร์คกลับขายหุ้นออกไป 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิ่ง คือวันที่ 11 สิงหาคม 2546 โดยผู้ซื้อคือ VAF ซึ่งถือหุ้นเพียง 3 สัปดาห์แล้วขายต่อให้ อีก 2 กองทุน คือ OGF และ ODF เหมือนเป็นคนละกองทุน โดยทั้ง VAF, OGF และ ODF มีที่อยู่ที่มาเลเซียเหมือนกัน คือ เลขที่ L1, LOT7, BLK F, ?LABUAN FT, MALYSIA

    3) ถ้าวินมาร์คเป็นของ นายนายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี จริง ทำไมไม่เปิดเผยตัวตั้งแต่ตอนนั้น จะทำให้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งได้อย่างไร้ข้อกังขา จะกล่าวว่าตอนนั้นยังไม่รู้จักก็ฟังไม่ขึ้น เพราะการซื้อหุ้นตั้ง 6 บริษัท เป็นหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้สอบบัญชีไม่ใช่ระดับสากล ก็ซื้อเหมาเข่งที่ราคาพาร์ทุกหุ้น และก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัทใดๆ ให้เป็นคนของนายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี เลย ต้องรู้จักใกล้ชิดกันมากจึงยอมขนาดนั้นได้ แต่กลับไม่ได้เปิดเผยในช่วงนั้น

    4) ข้อพิรุธสำคัญตามคำชี้แจงตามหนังสือถึงสำนักงาน ก.ล.ต. ในวันที่ 18 ตุลาคม 2549 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือ รายการรับเงินของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร มูลค่าขายหุ้นรวม 650,500,000 บาท ทยอยรับเงินเป็น 5 รายการ รวม 612,959,600 บาท ราวกับทยอยเบิกเงินของตนเองมาใช้ โดยงวดที่เป็นพิรุธมากขึ้น คือรายการวันที่ 11 พ.ค. จำนวน 191,999,900 บาท และ 12 พฤษภาคม จำนวน 243,809,900 บาท และ115,949,900.00 บาท รวมประมาณ 550 ล้านบาทนั้น เป็นระยะเวลาล่วงหน้าถึงประมาณ 3 เดือนก่อนการโอนหุ้น และที่เหลือ 1 เดือนครึ่งหลังการโอนหุ้นทั้งจำนวน ก็ไม่น่าเชื่อถือ ด้วย 3 ก้อนแรกนั้น สอดคล้องกับการใช้จ่ายค่าจองซื้อหุ้นสามัญ บมจ. ธนาคารทหารไทย 500 ล้านบาท (เพิ่มจาก 1,000 ล้านบาทในบัญชีในประเทศ) ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2543 ทำให้เชื่อได้ว่า เป็นการนำเงินของวินมาร์ค ซึ่งเป็นของตัวมาจองซื้อหุ้นธนาคารทหารไทย และใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ตามความประสงค์ของตนมากกว่า

    ทั้งนี้ วินมาร์คจ่ายเงินกว่า 500 ล้านบาท โดยไม่ได้หุ้นอะไรเลย จนอีก 3 เดือนจะได้หุ้นนั้น ไม่น่าเชื่อว่า จะเป็นความจริงได้ ทั้งนี้ หุ้นก็เป็นหลักทรัพย์ที่แบ่งแยกทยอยส่งมอบตามจำนวนที่ตกลงกันก็ย่อมได้ แต่การไม่มีสัญญาและจ่ายเงินก่อนการได้หุ้นประมาณ 3 เดือนนั้น แสดงว่าเป็นนอมินีของตนนั่นเอง

    5) ที่สำคัญคือ ก.ล.ต. ตรวจสอบพบว่า ในยอดรวม 1,500 ล้านบาทค่าหุ้นนั้น เงินประมาณ 1,200 ล้านบาทมาจากบัญชีที่ใช้ชื่อวินมาร์ค แต่ประมาณ 300 ล้านมาจากบัญชีของครอบครัวชินวัตรเอง แต่อ้างชื่อวินมาร์ค!!

    6) โดย ก.ล.ต. พบหลักฐานชัดแล้วว่า วินมาร์คและแอมเพิลริชเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ผ่านกองทุน ซิเนตร้าทรัสต์ และบลูไดมอนด์ และพบตรงกับ คตส. อีกประการ คือ วินมาร์ค มีรหัสบัญชี 121751 ที่ ธ.ยูบีเอส สิงคโปร์ เคยถือหุ้น SHIN ประมาณ 54 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท = 5.4 ล้านหุ้นช่วงพาร์ 10 บาท) ด้วย!!

    7) นอกจากนั้น ในช่วงที่ SC เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น มีการเพิ่มทุนที่ราคาหุ้นละ 10 บาท เพื่อขายให้ น.ส.พิณทองทา และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นเหตุให้ VIF ต้องเสียประโยชน์จากส่วนต่างของราคาหุ้นเมื่อ SC ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประมาณ 71 ล้านบาทเศษ ทำให้ไม่น่าเชื่อว่า VIF เป็นผู้ลงทุนอิสระจริง

    8) หลังจากขายหุ้นที่เข้าตลาดฯ ได้หุ้นเดียว คือ SC ไป วินมาร์คกลับถือหุ้นที่เหลือที่ ?ไม่ได้เข้าตลาดฯ? ไปอีกปี แล้วขายคืนให้ น.ส.พิณทองทา ทั้งหมด เป็นเงิน 485.8 ล้านบาท ในวันที่ 27 ตุลาคม 2547 ทุกบริษัทเหมาเข่งที่หุ้นละ 10 บาท เหมือนเดิม ซึ่งมิใช่วิสัยของนักลงทุนทั่วไป แต่เป็นลักษณะนอมินีอีกเช่นเคย

    9) วันที่ 15 กันยายน 2552 คุณหญิงอ้อ อธิบายให้การผิดๆ ถูกๆ อย่างสับสนว่า อีก 5 บริษัท อาจจะมีแผนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศหรือในไทย หากมีการเจรจาธุรกิจจริง ในปี 2543 และรับเงินล่วงหน้าตั้งประมาณ 3 เดือนเข้าบัญชีของตน ควรรู้ชัดอยู่แล้ว

    10) วันที่ 17 ก.ย. 2552 น.ส.พิณทองทา ยังเบิกความถึงความจำเป็นที่จะต้องซื้อหุ้นบริษัทคืนจากบริษัท วินมาร์ค ที่มีนายมาห์มูด มหาเศรษฐีชาวตะวันออกกลาง เพื่อนนักธุรกิจของบิดา ว่า เพราะก่อนหน้านั้น บิดาเคยขายหุ้นให้ บ.วินมาร์ค ปี 2542 เนื่องจากขณะจะนำบริษัทในเครือชิน 5 แห่ง เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และให้คำมั่นไว้ว่าจะรับซื้อคืน หากไม่ได้นำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ครบตามที่ระบุไว้
  • ดังนั้น เมื่อตนมีเงินปันผลจากบริษัท จึงนำเงินซื้อหุ้นที่เคยเป็นธุรกิจของครอบครัวกลับมา ระหว่างปี 2547มูลค่า 485 ล้านบาทเศษ ซึ่งน่าสงสารที่ น.ส.พิณทองทา ต้องให้การเท็จเพื่อพ่อแม่ เพราะ เธออ้างว่ามีเงื่อนไขต้องเอาเข้าตลาดฯ แต่เธอทราบหรือไม่ว่า เป็นเพียงคำอ้าง ด้วยเพียง 3 สัปดาห์ก่อนที่ SC ยื่นไฟลิ่ง วินมาร์คกลับขายออกไปก่อนให้ VIF และต่อไปที่ OGF และ ODF และสำหรับบริษัทที่เหลือ ในเมื่อเป็นกิจการของผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน ทำธุรกิจคล้ายๆ กันกับ SC ในตลาดฯ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต.ย่อมไม่อนุญาตเช่นนั้นอยู่แล้วกลับถือต่ออีกกว่าปีจึงมาขายให้เธอ

    ไทยทนฟังคำให้การของผู้นำกลุ่มเสื้อแดง ว่า ?รัฐธรรมนูญห้ามถือหุ้น ท่านทักษิณก็โอนหุ้นเหมือนทุกคน ท่านทำอะไรก็ผิด เพราะ 2 มาตรฐาน นี่ถ้าถือหุ้นอยู่จะไม่ผิดหรืออย่างไร?? ก็เป็นการเท็จให้คนเข้าใจผิด ด้วยถ้าโอนจริงก็ไม่ผิด แต่โอนให้ลูกก็เท็จ ด้วยมีหนี้ปลอม 3,000 ล้านบาท วินมาร์คก็ซุกซ่อน ฯลฯ
  • ไอ้เหี้ยหลักฐานการโกงของไอ้เหลียมมีตั้งมาก หาดูก็ง่าย ยังแถหน้าด้านๆว่ามันไม่โกง
  • สิ่งที่เสื้อแดงต้องการ คือ ความเท่าเทียม อำนาจนอกระบบต้องออกไป

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    เท่าเทียมเหี้ยอะไรครับ

    กูต่างหากที่ต้องการความเท่าเทียม กูเรียนจบม.3 แต่กูทำงานใด้ค่าแรงรายวัน 196 บาท

    ทำไมกูไม่ใด้เงินเดือนเป็นแสนแบบพวกมึงมั่งล่ะ ไอ้พวกเหี้ย ความเท่าเทียมมันอยู่ตรงไหน
  • ไอ้ทักษิณมึงคืออมาตย์ตัวพ่อ มึงหาแดกกับสัมปทานชาติ มึงหาแดกกับผลประโยชน์ของชาติ มึงหาแดกบนหลังประชาชน
  • ถึงคุณ sorajin41

    คุณรู้จักอีดา ตอปีโด มั้ยครับ โดนข้อหาเดียวกับไอ้เหี้ยสุวิชา
    ตอนนี้อีดามันอยู่ในคุก ปากของมันกำลังแดกข้าวไม่ใด้ เพราะขากรรไกรของมันเน่าครับ
    ตอนแรกๆที่ติดคุกใด้ข่าวว่ามันโดนนักโทษหญิงเรียงคิวเอาร้องเท้าตบปากมันครับ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านักโทษเหล่านั้นทำไมถึงใด้โกรธแค้นอีดา ตอปีโดมากนัก

    ภาพนี้มันโดนประชาชนทนไม่ไหวที่มันจาบจวงสถาบัน โดนการเอาขี้แขวงใส่หน้าของมัน
    ไฟล์แนบ
    untitled3.jpg 23K
  • กูอ่านมาตั้งเยอะ แล้วมันโกงตรงไหนวะ
    ก็แค่การซิกแซกเรื่องหุ้นเท่านั้น
  • ถึง..zzzX
    ก่อนอื่นผมขอออกตัวก่อนว่าไม่ใช้กลุ่มผู้ชุมนุมเสือเหลือง...สนธิ จำรอง และกลุ่มแกนนำ พธม. ผมไม่ได้ชื่นชอบมอบกายถวายชีวิตให้ จิงๆแล้วผมไม่เห็นด้วยกับการประท้วง
    ของทุกๆม๊อบ เพราะมันเดือดร้อนทั้งทางตรงและทางอ้อม...แต่ผมมีความคิดเห็นเรื่องเดียวกับกลุ่ม พธม. คือผมไม่ชอบ"ทักษิณ" และเหตุผลที่ผมไม่ชอบก็คือว่าที่เค่าโกงประเทศชาติ
    โดยมีหลักฐานอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ไม่ใช้เหตุผลหลัก เหตุผลหลักของผมมีเพียงเรื่องเดียวที่เกรียจที่สุดก็คือ ข้อ 40. การพูดจาบจ้วงดูหมิ่นพระบรมฯ (ที่พี่ผียกมาให้อ่าน) ผมรับไม่ได้
    ที่จะให้ใครก็ตามมาพูดจาประมาณนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหลืองหรือแดง คนบางกลุ่มอาจจะต้องการประชาธิไตร และคิดควรมีสิทธิมีเสรีภาพทางความคิดแบบประชาธิปไตร เหมือนไอ้เวรที่มัน
    ไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญฯ ในโรงหนัง ส่วนตัวผมประธิปไตรไม่มีความหมายสำหรับผม ผมขอแค่เป็นข้าพระบาทก็เพียงพอแล้วประเทศนี้เป็นของราชวงค์จักกรี เป็นเลือดเนื่อของบรรพบุรุษ
    ที่ต้อสู้และร่วมกันสร้างประเทศขึ้นมา ส่วนไอ้พวกที่ชอบเอาเบื่องบนลงมาเล่น ไม่ว่าจะเป็นเหลืองหรือแดงผมก็ไม่เอาด้วยทั้งนั้นและสาปแช่งอีกต่างหาก
  • ผมอ่านแล้วก็งงครับว่าโกงยังไง ผมไม่รู้ไอ้ที่คุณก็อปมาเนี่ยคุณอ่านแล้วตีความเข้าใจเหรอยัง
  • นอกเรื่องครับ เกี่ยวกับสมาคมยิงปืน
    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมติดต่อขอรับใบประกาศนียบัตร(ให้น้อง) รับรองเรื่องผลคะแนนการยิงปืน เพื่อประกอบการสมัครสอบ โรงเรียน จ่าทหารเรื่อง โควต้านักกีฬา เจ้าหน้าที่บอกว่า คนที่ทำจะเข้ามาเฉพาะเสาร์อาทิตย์ (งงนะทำงานกันยังไง) เสร็จแล้ว ก็โทรคุยกัน(กับคนที่ทำ) พี่ท่านผลัดวันประกันพรุ่ง อ้างโน้น(ประชุม)อ้างนี่(ทำ......ไม่รู้)---------โทรไปไม่รับอีก-----------แมร่งจะเอาไงก็ไม่บอกเชี่ยเอ๊ย-------------
    --------------แมร่งเป็นกันแบบนี้ วงการกีฬาทำไงก็ไม่เจริญ------------พี่ๆทุกท่านคิดดู---มันน่า............ไหม+++++++++++ผมแค่ต้องการระยะเวลาในการทำและนัดวันมารับที่แน่นอนหลักฐานที่สมาคมต้องการก็ส่งให้ไปตั้งแต่วันศุกร์แล้วนะ---------------ไม่รู้จะเอาเชี่ยไรอีก
  • GUN IN THAILAND : http://www.gun.in.th/board/index.php?board=1.0 ลองเข้าไปเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ให้เพื่อนสมาชิก ในนั้นคนในวงการเยอะอาจจะมีใครช้วยเหลือได้
  • ขอบคุณ ครับ
  • ตามคำแถลงปิดคดียึดทรัพย์ของกลุ่มผู้คัดค้าน เริ่มยอมรับแล้วว่า ประเด็นที่ คตส. อ้างถึงวินมาร์ค?แอมเพิลริช- การรายงาน 246-2 โดยยูบีเอสนั้น เป็นเรื่องที่มีนัย แต่ที่สรุปพิรุธก็คือ ในการแก้ข้อกล่าวหานั้น สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว ทำได้ดีที่สุดคือ เพียงบอกว่า ยูบีเอส ?อาจ? เข้าใจผิด จึงรายงานโดยไม่เป็นไปตามกฎหมาย

    ในฐานะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นลูกค้ารายใหญ่ของ ธ.ยูบีเอส ตั้งแต่ราวๆ ปี 2543 จ่ายค่าธรรมเนียมกรณีแอมเพิลริช (เชื่อว่า วินมาร์ค ด้วย) ตั้งเท่าไร หาก ธ.ยูบีเอสรายงานผิดจริงๆ การแจ้งให้ ธ.ยูบีเอส ยอมรับว่า หุ้นในส่วนของวินมาร์คนั้น ไม่ใช่ของครอบครัวชินวัตร แต่เป็นของ นายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ตามคำให้การของครอบครัว การนับรวมหุ้นกับแอมเพิลริช ซึ่งเป็นของครอบครัวชินวัตรดังที่ทำรายงาน 246-2 ไปนั้น จึงไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในเมื่อไม่ใช่ของบุคคลเดียวกัน ก็ต้องยกเลิกรายงาน 246-2 ให้เป็นโมฆะ ซึ่งน่าจะทำได้ง่ายมาก ตั้งแต่ปี 2544 (ปีที่รายงาน) ปี 2549 (ปีที่มีการสอบถามเพิ่มเติมและชี้แจง) หรือปัจจุบัน ก็ไม่เคยทำ ทำได้ดีที่สุดแค่ ?อาจ? เป็นเพราะเข้าใจผิด จึงทำให้ขาดน้ำหนักในการโต้แย้ง โดยสิ้นเชิง

    รายละเอียดในเรื่องนี้มีดังนี้

    พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกได้อ้างถึงข้อกล่าวหา คตส.ว่า หลักฐานสำคัญอีกประการหนึ่ง คือพฤติการณ์จัดการดูแลหุ้นชินคอร์ป ที่เกิดขึ้นในบัญชียูบีเอส ในช่วงปี 2544 ที่ได้เริ่มมีการย้ายหุ้นชินคอร์ปของวินมาร์ค จำนวน 54,059,130 หุ้น (ตามรายงาน คือ 5,405,913 หุ้น ก่อนแตกราคาพาร์) ซึ่งเปิดบัญชีฝากไว้ในนามยูบีเอส บัญชีเลขที่ 800248002 ที่ธนาคารซิตี้แบงก์ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็น custodian ก่อน จากนั้นจึงได้มีการย้ายหุ้นหุ้นชินคอร์ป 100 ล้านหุ้น (10 ล้านหุ้นก่อนแตกราคาพาร์) ของแอมเพิลริชไปฝากไว้กับยูบีเอส ในบัญชีเดียวกันกับบัญชีหุ้นชินคอร์ปของวินมาร์ค บัญชีเลขที่ 800248002 เมื่อเดือนสิงหาคม 2544

    จากนั้น ยูบีเอสก็ได้มีหนังสือรายงาน (246-2) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ว่าธุรกรรมดังกล่าวได้ยังผลให้ธนาคารต้องรับดูแลจัดการหุ้นชินคอร์ปของบุคคลหนึ่งเพิ่มขึ้นเกินระดับ 5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ตามหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต. จึงได้รายงานให้ ก.ล.ต.ได้ทราบ ซึ่งแสดงว่า ยูบีเอสได้พบว่าทั้งวินมาร์คและแอมเพิลริช เป็นของบุคคลเดียวกัน จึงต้องนำหุ้นทั้งสองมารวมเข้าด้วยกัน... แล้วคิดเป็น 5.24% ของยอดหุ้นชินคอร์ปทั้งหมด ซึ่งเมื่อเพิ่มจนเกินระดับ 5% (จุดเงื่อนไขต้องรายงาน triggered point) เช่นนี้แล้วยูบีเอส จึงมีหน้าที่ต้องรายงานต่อ ก.ล.ต.ไทยตามกฎหมาย

    พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า ?เรื่องบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สิน (custodian) เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยไม่มีพยานหลักฐานว่า หุ้นจำนวน 100 ล้านหุ้น และหุ้นจำนวน 54,059,130 หุ้น เป็นของใคร และบุคคลเดียวกันจะหมายถึงใคร ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบ โดยข้าพเจ้ารู้เพียงว่ายูบีเอส เป็นบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สิน ที่ให้บริการจัดการดูแลหุ้นและหลักทรัพย์ ซึ่งย่อมจะให้บริการแก่ลูกค้ารายอื่นด้วย
  • การที่ยูบีเอสนำหุ้นชินคอร์ปของลูกค้าทุกรายที่ตนดูแลอยู่มารวมไว้ในบัญชีเดียวกัน บัญชีเลขที่ 800248002 ซึ่งเป็นบัญชีของยูบีเอส ก็เป็นเรื่องของยูบีเอสเอง เพราะมีฐานะเป็นบริษัทผู้รับฝากสินทรัพย์ คือหุ้นดังกล่าวทั้งหมด โดย ?อาจ? เห็นว่าเป็นหุ้นชินคอร์ป เหมือนกันจึงนำมารวมในบัญชีเดียวกัน ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่ายูบีเอส คงจะต้องมีบัญชีและหลักฐานที่แสดงชัดเจนว่าหุ้นทั้งหมดในบัญชีดังกล่าวเป็นของผู้ใดและจำนวนเท่าใดบ้าง?

    หากยูบีเอส นำหุ้นมารวมในบัญชีเดียวกันจริง ยูบีเอส ?อาจ? เห็นว่าเมื่อตนเป็นผู้ดูแลหุ้นของลูกค้าในบัญชีดังกล่าว เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนถึงเกณฑ์ต้องรายงาน จึงได้ดำเนินการรายงานต่อ ก.ล.ต. แต่ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทั้งหมดเป็นของบุคคลเดียวกัน และเป็นของข้าพเจ้าและคู่สมรส... การเป็นของบุคคลเดียวกัน บุคคลนั้นน่าจะหมายถึงยูบีเอสนั่นเอง มิใช่ข้าพเจ้าและคู่สมรส ยูบีเอสจึงรายงานให้ ก.ล.ต.ในฐานะบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สินทั้งหมดแทนผู้ถือหุ้นอื่นทุกคนที่เป็นเจ้าของที่แท้จริง

    คำชี้แจงแบบข้างๆ คูๆ เช่นนี้ ไร้ความน่าเชื่อถือ ด้วยหลักฐานและเหตุผล ดังต่อไปนี้

    1. การรายงาน 246-2 ซึ่ง ธ.ยูบีเอส ทำเมื่อเดือนสิงหาคม 2544 เป็นการรายงานตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ฯ 2535 มีเป็นภาษาอังกฤษเรียบร้อย โดยมีเนื้อหาสรุปว่า ?Securities of a business held by the following persons or partnerships shall be regarded as securities held by the person referred to in Section 246 and Section 247: (1) the spouse of such person; (2) a minor child of such person; ?(4) a limited partnership in which such person or the person under (1) or (2) is an unlimited liability partner or a limited liability partner who collectively holds contribution in an amount exceeding thirty percent of the total contribution of the limited partnership; ?

    กล่าวคือ การทำรายงานนี้ ไม่ใช่ใครนึกจะเอาหุ้นของคนอื่นมารวมกันโดยไม่ได้เป็นไปตามข้อกฎหมายมาตรา 246 และ 258 นี้ก็ไม่ถูกต้อง การที่ ธ.ยูบีเอส รายงานไปนั้น จึงทำตามกฎหมายนี้ จะอ้างว่าไม่ทราบกฎหมายก็คงไม่ได้ ด้วยมีภาษาอังกฤษแปลไว้ชัดเจน จะอ้างว่า ก.ล.ต.ก็ยอมรับว่าวิธีปฏิบัติของแต่ละรายในการแจ้งรายชื่อผู้ถือหุ้นมีวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกัน เช่น บางรายแจ้งเป็นชื่อลูกค้า บางรายก็แจ้งเป็นชื่อบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สินก็ไม่น่าเชื่อถือ เพราะด้วยฐานะลูกค้ากลับไม่ให้ยูบีเอสตอบให้ชัดในประเด็นนี้อย่างเจาะจง

    2. แม้ในปี 2549 ประมาณ 5 ปีต่อมา ตามที่มีหนังสือโต้ตอบระหว่างสำนักงาน ก.ล.ต. และ ธ.ยูบีเอส เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า รายงาน 246-2 นี้มีความผิดพลาดหรือไม่? ปรากฏตามหนังสือแถลงข่าวของสำนักงาน ก.ล.ต. ว่า ธ.ยูบีเอสได้มีหนังสือลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อชี้แจงสำนักงาน ก.ล.ต. ว่า ?รายงานแบบ 246-2 เป็นความผิดพลาด ทั้งนี้ รายการดังกล่าวไม่ใช่เป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ราคาหุ้นละ 179 บาทแต่อย่างใด? แต่ไม่ได้แก้ไขว่า นับรวมหุ้น 10 ล้านหุ้น กับ 5.4 ล้านหุ้นมิได้เป็นของบุคคลเดียวกันตามมาตรา 246 และ 258 เลย แสดงว่าหลังจากการ ?ตรวจสอบแล้ว? มีการแก้ไขเฉพาะจุดเล็กๆ แต่ไม่แก้ประเด็นการรวมหุ้นของบุคคลเดียวกัน ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดรายงานนี้ จึงยังเป็นการยืนยันว่า เป็นการรวมหุ้นของบุคคลเดียวกันจริง แล้วผ่านจุดที่ต้องรายงาน (triggered) ตามกฎหมายนั่นเอง

    ทุกท่านลองคิดดูได้ครับว่า หากมีการถามเพื่อความชัดเจน จะได้ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หมดข้อสงสัยว่าเป็นเจ้าของหุ้นทั้ง 2 จำนวนหรือไม่ การได้ทบทวนแล้วบอกว่า หุ้นวินมาร์คเป็นของ นายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ต้องไม่นับรวมกับหุ้น 100 ล้านหุ้นของแอมเพิลริช ของครอบครัวชินวัตรนั้น รายงานนี้ก็ยกเลิกเป็นโมฆะ ก็จะไม่ง่ายกว่าหรือ จะไม่ชัดกว่าหรือ ปรากฏว่า ได้แก้ไขเพียงเรื่องการซื้อนอกตลาดฯ และไม่ใช่ราคา 179 บาทเท่านั้นเอง ปล่อยให้เป็นเรื่อง ?อาจจะ? ต่อไป

    แน่นอน หากหลงไปถามคำถาม ธ.ยูบีเอสกว้างๆ ว่า หุ้นทั้งหมดที่ ธ.ยูบีเอสดูแล เป็นของใครบ้าง ยูบีเอสย่อมตอบไม่ได้ เพราะต้องรักษาความลับ (Confidentiality) ของลูกค้า แต่ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะลูกค้า จะแจ้งต่อยูบีเอสว่า ให้รับรองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และบรรดาบริษัท หรือกองทุนที่ถือต่อกันเป็นทอดๆ นั้น มีเพียง 100 ล้านหุ้นนั้น ส่วนอีก 54 ล้านหุ้นเศษนั้นไม่ใช่ ย่อมทำได้ แต่ไม่เคยได้ทำ

    แต่เป็นเพราะ ธ.ยูบีเอส เป็นธนาคารที่ทำหน้าที่นี้ระดับโลก โดยทำหน้าที่ในหลายๆ ประเทศ เขาไม่ยอมรับหรอกว่า ได้ทำหน้าที่รายงาน 246-2 ไปโดยไม่เข้าใจกฎหมายของประเทศไทยว่าต้องนับรวมของกลุ่มบุคคลเดียวกันตามกฎหมายเท่านั้น และก็จะไม่ยอมแจ้งเท็จอย่างจงใจ เพื่อปกปิดความผิดของใครด้วย

    3. ฝ่ายผู้คัดค้านได้อ้างว่า มีพยานเอกสารของนายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ซึ่งเป็นคำชี้แจงโดยรับรองจากศาลดูไบ ยืนยันว่า นายมาห์มูด เป็นเจ้าของบริษัท วินมาร์คที่แท้จริงเพียงผู้เดียว ก็น่าแปลกใจว่า ก่อนหน้านี้ ไม่เคยแสดงตัวเลย แต่หลังจากกองทุนเหล่านี้ขายหุ้นไปหมดแล้วจึงปรากฏตัว นี่เป็นเพราะความเสี่ยงที่จะถูกนายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ยึดเอาหุ้นไปหมดแล้ว จึงปรากฏชื่อมาหรือไม่?
    เรื่องการอ้างถึง นายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ช่างขัดกับพฤติกรรมการปกปิดมากว่า 10 ปี ดังนี้

    1) วันที่ 1 สิงหาคม 2543 วินมาร์คได้มาซื้อหุ้น (1) พี.ที. คอร์ปอเรชั่น (2) เอสซีออฟฟิซ ปาร์ค (3) เวิร์ธ ซัพพลายซ์ (4) โอเอไอ พร็อพเพอร์ตี้ (เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (มหาชน) : SC) (5) เอส ซี เค เอสเทต (6) บี.พี. พร็อพเพอร์ตี้ ทุกบริษัท ที่ราคาพาร์ (แม้กระทั่งบริษัทที่ชำระหุ้นเพิ่มทุนเพียงบางส่วน)

    โดยในวันที่ 11 กันยายน 2543 ประชาชาติธุรกิจ ได้พาดหัวข่าวใหญ่โดยคุณ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ว่า ?ตะลึง! ?ทักษิณ? โอนหุ้น 900 ลบ. เข้าบริษัทบนเกาะฟอกเงิน? ในวันที่ 12 กันยายน 2543 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ ที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย การขายหุ้นอสังหาริมทรัพย์ 5-6 บริษัทให้แก่กองทุนวินมาร์คนั้น ?เป็นการขายหุ้นให้แก่นักลงทุนต่างประเทศธรรมดา ไม่มีอะไรที่พิสดาร มีการโอนขายไป 500-600 ล้านบาท หรือ 700-800 ล้านบาท จำนวนเท่าไหร่ จำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ ขายไปในราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท ตอนนี้ต้องยอมรับว่า ตอนนี้อสังหาริมทรัพย์ในตลาดต่ำกว่าราคาพาร์ทั้งนั้น เราขายได้ราคาพาร์ในช่วงนี้ก็ถือว่าเฮงแล้ว?
  • ข้อพิรุธคืองบการเงินแต่ละบริษัทในช่วงนั้นของแต่ละบริษัทย่อมแตกต่างกันไป เช่น เวิร์ธ ซัพพลาย มีมูลค่าทางบัญชีหุ้นละ 7.3-7.4 บาท ปี 2543 ขาดทุน 118 ล้านบาท คิดเป็น 2.68 บาทต่อหุ้น ก็ขายที่ 10 บาท บี.พี.พร็อพเพอร์ตี้ (เดิมคือ บริษัท บัสซาวด์) มีมูลค่าทางบัญชีหุ้นละ 5.5-5.7 บาท ปี 2543 ขาดทุน 13.6 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุน 0.40 บาทต่อหุ้น ก็ขายที่ 10 บาท ต่างกับกรณีขายหุ้นให้เทมาเส็กโดยสิ้นเชิงที่โอนครั้งเดียวแลกหุ้น ด้วยราคาที่ต่อรองกันจนสรุปได้ที่ 49.25 บาทต่อหุ้นจริง ไม่ใช่เหมาที่ราคาพาร์เช่นนี้ ซึ่งเหมือนการโอนในครอบครัวมากกว่าที่ทุกรายการในครอบครัวชินวัตร ก็ทำที่ราคาพาร์ (นอกจากหนี้ปลอม 3,000 ล้านบาท ค่า TMB-C1 ทำที่ 10 บาท ทั้งที่ต้นทุนหญิงอ้อเป็นศูนย์)

    2) ผู้สื่อข่าวถามว่า ?บริษัทที่ขายหุ้นให้กับต่างชาติก็ผลประกอบการไม่ค่อยดีนัก ทำไมนักลงทุนถึงสนใจซื้อ? ทักษิณตอบว่า ?ที่ต่างชาติสนใจซื้อเพราะบริษัทจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในโอกาสต่อไป? แต่ความจริงใน 6 บริษัทที่วินมาร์คซื้อไปนี่ มีบริษัทเดียวที่เข้าตลาดฯ ได้ คือ บ. โอเอไอ พร็อพเพอตี้ (ปัจจุบันคือ SC) แต่วินมาร์คกลับขายหุ้นออกไป 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิ่ง คือวันที่ 11 สิงหาคม 2546 โดยผู้ซื้อคือ VAF ซึ่งถือหุ้นเพียง 3 สัปดาห์แล้วขายต่อให้ อีก 2 กองทุน คือ OGF และ ODF เหมือนเป็นคนละกองทุน โดยทั้ง VAF, OGF และ ODF มีที่อยู่ที่มาเลเซียเหมือนกัน คือ เลขที่ L1, LOT7, BLK F, ?LABUAN FT, MALYSIA

    3) ถ้าวินมาร์คเป็นของ นายนายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี จริง ทำไมไม่เปิดเผยตัวตั้งแต่ตอนนั้น จะทำให้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งได้อย่างไร้ข้อกังขา จะกล่าวว่าตอนนั้นยังไม่รู้จักก็ฟังไม่ขึ้น เพราะการซื้อหุ้นตั้ง 6 บริษัท เป็นหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้สอบบัญชีไม่ใช่ระดับสากล ก็ซื้อเหมาเข่งที่ราคาพาร์ทุกหุ้น และก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัทใดๆ ให้เป็นคนของนายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี เลย ต้องรู้จักใกล้ชิดกันมากจึงยอมขนาดนั้นได้ แต่กลับไม่ได้เปิดเผยในช่วงนั้น

    4) ข้อพิรุธสำคัญตามคำชี้แจงตามหนังสือถึงสำนักงาน ก.ล.ต. ในวันที่ 18 ตุลาคม 2549 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือ รายการรับเงินของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร มูลค่าขายหุ้นรวม 650,500,000 บาท ทยอยรับเงินเป็น 5 รายการ รวม 612,959,600 บาท ราวกับทยอยเบิกเงินของตนเองมาใช้ โดยงวดที่เป็นพิรุธมากขึ้น คือรายการวันที่ 11 พ.ค. จำนวน 191,999,900 บาท และ 12 พฤษภาคม จำนวน 243,809,900 บาท และ115,949,900.00 บาท รวมประมาณ 550 ล้านบาทนั้น เป็นระยะเวลาล่วงหน้าถึงประมาณ 3 เดือนก่อนการโอนหุ้น และที่เหลือ 1 เดือนครึ่งหลังการโอนหุ้นทั้งจำนวน ก็ไม่น่าเชื่อถือ ด้วย 3 ก้อนแรกนั้น สอดคล้องกับการใช้จ่ายค่าจองซื้อหุ้นสามัญ บมจ. ธนาคารทหารไทย 500 ล้านบาท (เพิ่มจาก 1,000 ล้านบาทในบัญชีในประเทศ) ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2543 ทำให้เชื่อได้ว่า เป็นการนำเงินของวินมาร์ค ซึ่งเป็นของตัวมาจองซื้อหุ้นธนาคารทหารไทย และใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ตามความประสงค์ของตนมากกว่า

    ทั้งนี้ วินมาร์คจ่ายเงินกว่า 500 ล้านบาท โดยไม่ได้หุ้นอะไรเลย จนอีก 3 เดือนจะได้หุ้นนั้น ไม่น่าเชื่อว่า จะเป็นความจริงได้ ทั้งนี้ หุ้นก็เป็นหลักทรัพย์ที่แบ่งแยกทยอยส่งมอบตามจำนวนที่ตกลงกันก็ย่อมได้ แต่การไม่มีสัญญาและจ่ายเงินก่อนการได้หุ้นประมาณ 3 เดือนนั้น แสดงว่าเป็นนอมินีของตนนั่นเอง

    5) ที่สำคัญคือ ก.ล.ต. ตรวจสอบพบว่า ในยอดรวม 1,500 ล้านบาทค่าหุ้นนั้น เงินประมาณ 1,200 ล้านบาทมาจากบัญชีที่ใช้ชื่อวินมาร์ค แต่ประมาณ 300 ล้านมาจากบัญชีของครอบครัวชินวัตรเอง แต่อ้างชื่อวินมาร์ค!!

    6) โดย ก.ล.ต. พบหลักฐานชัดแล้วว่า วินมาร์คและแอมเพิลริชเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ผ่านกองทุน ซิเนตร้าทรัสต์ และบลูไดมอนด์ และพบตรงกับ คตส. อีกประการ คือ วินมาร์ค มีรหัสบัญชี 121751 ที่ ธ.ยูบีเอส สิงคโปร์ เคยถือหุ้น SHIN ประมาณ 54 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท = 5.4 ล้านหุ้นช่วงพาร์ 10 บาท) ด้วย!!

    7) นอกจากนั้น ในช่วงที่ SC เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น มีการเพิ่มทุนที่ราคาหุ้นละ 10 บาท เพื่อขายให้ น.ส.พิณทองทา และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นเหตุให้ VIF ต้องเสียประโยชน์จากส่วนต่างของราคาหุ้นเมื่อ SC ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประมาณ 71 ล้านบาทเศษ ทำให้ไม่น่าเชื่อว่า VIF เป็นผู้ลงทุนอิสระจริง

    8) หลังจากขายหุ้นที่เข้าตลาดฯ ได้หุ้นเดียว คือ SC ไป วินมาร์คกลับถือหุ้นที่เหลือที่ ?ไม่ได้เข้าตลาดฯ? ไปอีกปี แล้วขายคืนให้ น.ส.พิณทองทา ทั้งหมด เป็นเงิน 485.8 ล้านบาท ในวันที่ 27 ตุลาคม 2547 ทุกบริษัทเหมาเข่งที่หุ้นละ 10 บาท เหมือนเดิม ซึ่งมิใช่วิสัยของนักลงทุนทั่วไป แต่เป็นลักษณะนอมินีอีกเช่นเคย

    9) วันที่ 15 กันยายน 2552 คุณหญิงอ้อ อธิบายให้การผิดๆ ถูกๆ อย่างสับสนว่า อีก 5 บริษัท อาจจะมีแผนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศหรือในไทย หากมีการเจรจาธุรกิจจริง ในปี 2543 และรับเงินล่วงหน้าตั้งประมาณ 3 เดือนเข้าบัญชีของตน ควรรู้ชัดอยู่แล้ว

    10) วันที่ 17 ก.ย. 2552 น.ส.พิณทองทา ยังเบิกความถึงความจำเป็นที่จะต้องซื้อหุ้นบริษัทคืนจากบริษัท วินมาร์ค ที่มีนายมาห์มูด มหาเศรษฐีชาวตะวันออกกลาง เพื่อนนักธุรกิจของบิดา ว่า เพราะก่อนหน้านั้น บิดาเคยขายหุ้นให้ บ.วินมาร์ค ปี 2542 เนื่องจากขณะจะนำบริษัทในเครือชิน 5 แห่ง เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และให้คำมั่นไว้ว่าจะรับซื้อคืน หากไม่ได้นำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ครบตามที่ระบุไว้

    ดังนั้น เมื่อตนมีเงินปันผลจากบริษัท จึงนำเงินซื้อหุ้นที่เคยเป็นธุรกิจของครอบครัวกลับมา ระหว่างปี 2547มูลค่า 485 ล้านบาทเศษ ซึ่งน่าสงสารที่ น.ส.พิณทองทา ต้องให้การเท็จเพื่อพ่อแม่ เพราะ เธออ้างว่ามีเงื่อนไขต้องเอาเข้าตลาดฯ แต่เธอทราบหรือไม่ว่า เป็นเพียงคำอ้าง ด้วยเพียง 3 สัปดาห์ก่อนที่ SC ยื่นไฟลิ่ง วินมาร์คกลับขายออกไปก่อนให้ VIF และต่อไปที่ OGF และ ODF และสำหรับบริษัทที่เหลือ ในเมื่อเป็นกิจการของผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน ทำธุรกิจคล้ายๆ กันกับ SC ในตลาดฯ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต.ย่อมไม่อนุญาตเช่นนั้นอยู่แล้วกลับถือต่ออีกกว่าปีจึงมาขายให้เธอ

    ไทยทนฟังคำให้การของผู้นำกลุ่มเสื้อแดง ว่า ?รัฐธรรมนูญห้ามถือหุ้น ท่านทักษิณก็โอนหุ้นเหมือนทุกคน ท่านทำอะไรก็ผิด เพราะ 2 มาตรฐาน นี่ถ้าถือหุ้นอยู่จะไม่ผิดหรืออย่างไร?? ก็เป็นการเท็จให้คนเข้าใจผิด ด้วยถ้าโอนจริงก็ไม่ผิด แต่โอนให้ลูกก็เท็จ ด้วยมีหนี้ปลอม 3,000 ล้านบาท วินมาร์คก็ซุกซ่อน ฯลฯ จึงผิด สื่อมวลชนจึงมีบทบาทสำคัญเพื่อให้สังคมรับรู้ความจริงเดียวกัน และคนไทยไม่ต้องขัดแย้งกัน
  • แบบนี้มันไม่ใช่ห้องตะลุมบอลแล้ว น่าจะเปลี่ยนชื่อนะ ห้องเหลือง แดง ตะลุมบอล
  • สี่เหลี่ยมก็มีสี่ด้าน ไอ้คนหน้าด้าน คือไอ้หน้าเหลี่ยม
    ไอ้ลิ่วล้อสิงคโปร์โตก ไอ้ลิ่วล้อสิงคโปร์โตก มันจะตกนรก กะลาหัวไม่เจียม

    ไอ้หน้าเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม ไอ้ลูกกระจ๊อกหน้าเหลี่ยม มันเลียแข้งเลียขา
    ไอ้หน้าเหลี่ยมมันเป็นคนพันทาง พูดไทยปนฝรั่งยังกับโก้ตายห่า (เฮ้ย)
    ฝ่ายค้านก็รวมหัวบอยคอต ประชาชนก่อหวอดมันก็ยังตากหน้า
    มันหน้าด้านไม่เป็นลูกผู้ชาย มันกลัวจะโดนลากไส้ มันเลยยุบสภา(หุย)
    ไอ้หน้าเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม มันแจกแบงค์ใหม่เอี่ยมให้คนเข้าคูหา
    เอาบัตรปลอมปนๆไปมั่ง มันก็ได้รับเลือกตั้งมาตั้ง 19 ล้านกว่า
    โดนไล่มันก็ไม่ยอมลาออก ใครถามก็บอกว่าสายๆชาติหน้า
    มันขายชินฯ ขายชาติเบ็ดเสร็จ มันฮุบประเทศให้โคตรอาเตี่ยโคตรอาม่า

    โอ้ย เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม
    โอ้ย เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม
  • ไอ้หน้าเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม ไอ้ทรราชหน้าเหลี่ยม มันทำตัวอหังการ์
    มันอยากเป็นรัฐบุรุษ ไอ้หมาหัวเน่าหางกุด จะชูคอเทียบป๋า
    มันไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ มันพูดจาระยำจาบจ้วงราชา
    มันอวดดีแต่งตั้งสังฆราช ที่หน้าตาประหลาดเพราะมันเป็นมารศาสนา

    โอ้ย เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม
    โอ้ย เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม

    ไอ้หน้าเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม ไอ้นาซีหน้าเหลี่ยมมันมีแต่คำมุสา
    มันขี้ฮกว่ามันจับโจรใต้ คนดีๆ ต้องตาย ยังโดนยัดข้อหา (เฮ้ย)
    มันบอกว่ามันเป็นคนดี แต่มันโกงภาษี มันให้ลูกรับหน้า
    มันบอกว่าทำตามระเบียบ แต่ถ้ามันเสียเปรียบ มันก็แก้กติกา
    มันจะซื้อลิเวอร์พูล ฟูแล่ม มันกุข่าวหน่อมแน้ม มากลบความชั่วช้า
    มันดูถูกเรื่องสัตยาบัน แต่มันเขียนอีกอัน มันบอกว่ามันเตรียมมา
    มันบอกจะปราบคอร์รัปชั่น ปราบภาษาพ่อ..แดกกันยิ่งกว่า
    มันคุยว่ามันมีธรรมะ พอจับได้จะๆ มันบอก ?ตถตา?

    สี่เหลี่ยมก็มีสี่ด้าน ไอ้คนหน้าด้าน คือไอ้หน้าเหลี่ยม
    ไอ้ลิ่วล้อสิงคโปร์โตก ไอ้ลิ่วล้อสิงคโปร์โตก มันจะตกนรก กะลาหัวไม่เจียม

    ไอ้หน้าเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม มันหน้าตาสี่เหลี่ยมยิ่งกว่าทรงเรขา
    น้องมันก็พุงป่องสมองฝ่อ ปลอมวุฒิ ปวช.ไปเรียนต่อปริญญา
    ลูกสาวมันก็โง่ฉิบหาย ขนาดโกงแทบตายยังได้แค่ 2กว่าๆ
    ลูกชายมันก็ไอคิวต่ำ มันต้องใส่แว่นดำ ก็เพราะมันติดยา
    เมียมันโกงแล้วก็ไม่เจียม เดินเอ็มโพเรียมก็เลยโดนเขาด่า
    ความผิดมันอีกหลายกระทง ตั้งแต่ธรณีสงฆ์ ไปถึงโปรเจกต์เมก้า (เฮ้ย)
    กลางคืนคงเอาตีนกุมขมับ อยากจะนอนให้หลับ มันยังต้องฉีดยา
    อีกหน่อยมันคงเป็นโรคประสาท ไปแก้ผ้าอาละวาดอยู่บนป้ายโฆษณา (หุย)

    โอ้ย เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม
    โอ้ย เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม

    ไอ้หน้าเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม ถ้าขืนให้มันหน้าเหลี่ยมไปจนถึงสมัยหน้า
    เมืองไทยคงกลายเป็นคุกลับๆ เป็นที่ตั้งฐานทัพพวกอเมริกา (เฮ้ย)
    สิงคโปร์มันจะเข้านอกออกใน วางมาดเส้นใหญ่ ไม่ต้องปั๊มวีซ่า
    หมอผีเขมรจะร่ำรวย ร่ายเวทย์ล้างซวยเวลาเหี้ยเข้าสภา (หุย)
    มันคงจะแฮบเงินกองทุน ไปปล่อยกู้อุดหนุนเศรษฐกิจพม่า
    ประเทศไทยมันคงเอาเข้าตลาด ขายหุ้นละ 1 บาท บอกว่าราคาพาร์ (เฮ้ย)
    ให้อากู๋เปลี่ยนเนื้อเพลงชาติ ลิขสิทธิ์ผูกขาดทั้งชาตินี้ชาติหน้า
    ฮิตเล่อร์กลับชาติมาเกิดใหม่ เป็นลูกคนสุดท้ายชื่อเด็กชายพวงทองทา

    สี่เหลี่ยมก็มีสี่ด้าน ไอ้คนหน้าด้าน คือไอ้หน้าเหลี่ยม
    ไอ้ลิ่วล้อสิงคโปร์โตก ไอ้ลิ่วล้อสิงคโปร์โตก มันจะตกนรก กะลาหัวไม่เจียม

    ไอ้หน้าเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม ไอ้คนที่รักหน้าเหลี่ยมมันมีแต่รวยอื้อซ่า
    สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สุรเกียรติ์-สมคิด-คงศักดิ์ วันทนา(เฮ้ย) ชิดชัย วรรณสถิตย์-ไอ้สมัคร-ดุสิต-วิษณุ-วาสนา-สุวรรณ วลัยสถุน-ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา (หุย) สุนีย์ สินธุเดชะ-ทนง พิทยะ-ยงยุทธ-เยาวภา-สุรนันท์-สุขวิช-สุนัย-สุภาพ คลี่กระจาย-สุธรรม-ศิธา (เฮ้ย)
    สุชาติ-สุวิทย์-สุวัจน์-เจ๊หน่อยสุดารัตน์-สุชน-สนธยา คุณปลื้ม แต่ว่าผมไม่ปลื้ม เพราะว่าผมไม่ลืมว่าพ่อมึมฆ่าใครมา

    โอ้ย เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม
    โอ้ย เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม

    อดิสร-อดิสัย-อริสมันต์-เนวิน-ยุรนันท์-ลัดดาวัลลิ์-วัฒนา-ปองพล-จาตุรนต์ ฉายแสง-นายรุ่งแก้วแดง-สมชาย-สุชาดา (เฮ้ย) นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์-นายวันมูหะมัด นอร์ มะทา-ภูมิธรรม-พงษ์ศักดิ์-พรหมินทร์-โภคิน-พงศ์เทพ เทพกาญจนา (หุย) สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
    -ธงทอง-กันตธีร์-สุเทพ--อรทัย ฐานะจาโร-บวรศักดิ์ อุวรรณโน-ประชา (เฮ้ย) ระเบียบรัตน์-เสริมศักดิ์-สมศักดิ์-เพรียวพันธุ์-ชัยภักดิ์-จักรภพ-ปวีณา-พินิจ จารุสมบัติ-สรอรรถ-สรยุทธ สุทัศนะจินดา

    โอ้ย เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม
    โอ้ย เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม เหลี่ยม

    วราเทพ รัตนากร-วีระ-ดนุพร-ประยุทธ์-ปริญญา-มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ-พันศักดิ์-จักรพันธุ์-ศันสนีย์-ปรีชา-อุระ ได้แต่หวังอ้อกลาง โสภณ เพชรสว่าง-บุญคลี-ลลิตา-ปลอดประสพ สุรัสวดี ที่เปิดไนท์ซาฟารี เป็นสุสานสัตว์ป่า-ณหทัย-ชัยสิทธิ์-อิทธิพล-สุขุม-กมล-สุมิตา-สุจินดา-จำลอง ครุฑขุนทด-สิริกร-บรรพต-วิชัย-วิทยา (เฮ้ย)
    ช่อง 9 ช่อง itv ช่อง11 เจ็ดสี ช่อง 3 ช่อง 5 UBC CP เซเว่น, ไทเกอร์, ไฮเนเก้น...
  • กูอ่านมาตั้งเยอะ แล้วมันโกงตรงไหนวะ
    ก็แค่การซิกแซกเรื่องหุ้นเท่านั้น

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    สมควรควายเรียกมึงว่าพ่อ
  • ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รับฟ้องคดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตกเป็นจำเลยฐานใช้อำนาจในทางมิชอบ สั่งให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ปล่อยเงินกู้แก่รัฐบาลพม่า 4,000 ล้านบาท..


    ผู้สันทัดกรณีประเมินว่า จากหลักฐานที่ปรากฏ งานนี้พ.ต.ท.ทักษิณเสี่ยงติดคุกเข้าไปครึ่งตัวแล้ว อีกทั้งคำพิพากษาศาลฎีกาฯ มีความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในตัวเอง จะอุทธรณ์หรือต่อสู้ใดๆ ไม่ได้อีกต่อไป!


    คดีมีที่มายืดยาว กล่าวโดยสรุป พ.ต.ท. ทักษิณระบุว่า มีความจำเป็นที่ไทยต้องช่วยเหลือ ด้านการเงิน แก่พม่าเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสื่อสาร-โทรคมนาคม ตามข้อตกลง ปฏิญญาพุกาม ซึ่งไปลงนามร่วมกันไว้ปลายปี 2546


    แต่นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีต่างประเทศยุคนั้นคัดค้าน เพราะในจุดมุ่งหมายปฏิญญาพุกาม 5 ข้อแต่เดิมไม่มีข้อตกลงพัฒนาโทรคมนาคมบรรจุอยู่ อีกทั้งครอบครัวพ.ต.ท. ทักษิณยังทำธุรกิจประเภทเดียวกัน จึงอาจก่อปัญหาภายหลัง


    ที่สำคัญก่อนหน้านั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังทำพฤติกรรมไม่งาม หนีบนายพานทองแท้ บุตรชาย พร้อมพนักงานชินแซท ไปโชว์ศักยภาพระบบมือถือผ่านดาวเทียม ไอพีสตาร์ ของชินแซทให้แกนนำรัฐบาลพม่าดูระหว่างปฏิบัติราชการด้วย!


    อย่างไรก็ตาม ในที่สุดพ.ต.ท.ทักษิณก็ใช้อำนาจ สั่งให้เอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำพิเศษสุดแก่รัฐบาลพม่า 4,000 ล้าน เพิ่มจากยอดเดิมถึง 1,000 ล้านบาท พร้อมให้สิทธิขยายเวลาปลอดชำระหนี้จากเดิม 2 ปี เป็น 5 ปี


    ต่อมา เงินเหล่านี้ก็วกกลับมาซื้อสินค้าชินแซทของทักษิณ ตามที่ล็อกสเป๊กกันไว้เป๊ะ!


    ขณะเดียวกัน โลกยิ่งกลมเข้าไปใหญ่ เมื่อบริษัทที่ดำเนินกิจการมือถือผ่านไอพีสตาร์ก็คือ พุกามไซเบอร์เทค ของลูกชายพล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ นายกรัฐมนตรีพม่า ซึ่งสนิทสนมกับพ.ต.ท.ทักษิณอย่างยิ่ง แต่ปัจจุบันหมดสิ้นอำนาจ มีคดีทุจริตติดตัว ต้องโทษจำคุก 44 ปี