พิต หมาขี้โรค(ผิวหนัง)

ไงก็ลองให้กินก่อน ถ้าโอเค ก็ลุยเลย

เสียดาย ผมอยู่ ตจว.

จะซื้อให้หมาพันทาง กินซะหน่อย

ผสมกับเนื้อไก่สดๆที่มี

อาหารเม็ดดีๆ อาหารสด(เนื้อ) ส่วนใหญ่ไม่น่าต่ำกว่าโลละ 50-60

ดีครับ ขอให้ขายหมดไวๆ

มีวาซาบิให้ด้วยป่าว ?

เนื่องจาก มีหลายท่านโทรเข้ามาสอบถาม ถึงประโยชน์ และคุณค่าทางโภชนาการ ของเนื้อปลา ว่ามีความจำเป็นอย่างไร ผมขอชี้แจง แนะแนะนำ ผ่านตัวอักษร และบทความ ซึ่งผ่านหูผ่านตามาพอสมควร โดย จะขอพูดถึง หลักโภชนาการสำหรับสุนัข โดยรวม เป็นเรื่องๆเผื่อจะได้ประโยชน์กับผู้ที่เคยเข้ามาถามและยังไม่เข้าใจผ่านทางนี้นะครับ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งเรียบเรียงโดยตัวผมเอง มิได้มีเจตนากล่าวพาดพิงถึงใครในทุกกรณี (เป็นความรู้ที่มีสะสมอยู่ในสมองที่ชอบศึกษาเรื่องโภชนาการ)

หลักโภชนาการสำหรับสุนัข (เรียบเรียงโดย UltraDog)
สุนัขพัฒนามาจากสัตว์กินเนื้อ (Carnivore) และล่าเหยื่อ (Hunter) ในขณะเดียวกัน สุนัขก็ยังเป็นสัตว์กินซาก (Scavenger) ดังนั้นวิวัฒนาการของฟันสำหรับเคี้ยวเนื้อและกระดูกจึงยังคงมีอยู่ รวมทั้งการมีประสาทดมกลิ่นและตามล่าเหยื่อที่ดีมาก นอกจากนี้สุนัขยังมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงทำให้วิ่งได้เร็วและเร่งความเร็วได้เท่าที่ต้องการ ลักษณะการเดินของสุนัขจะทิ้งน้ำหนักตัวบนนิ้วเท้า ซึ่งส่งผลให้สุนัขเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วกว่าสัตว์ชนิดอื่น นอกจากนี้สุนัขยังมีสัญชาตญาณในการทำงานเป็นกลุ่ม ดังนั้นสุนัขจึงสามารถล่าสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สารอาหาร (Nutrients)
สารอาหารคืออะไร ?
คือ อาหารที่กินเข้าไปแล้ว ถูกย่อยด้วยกระบวนการย่อยจนได้โมเลกุลของอาหารที่เล็กลงจนร่างกายสามารถนำเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เราแบ่งสารอาหารออกเป็น หมวดหลักๆ ดั้งนี้

โปรตีน
โปรตีน คือ สารอินทรีย์ซึ่งพบได้ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มีโครงสร้างซับซ้อนและมีมวลโมเลกุลมาก โปรตีนมีหน่วยย่อยคือ กรดอะมิโน เรียงต่อกันด้วยพันธะเปปไทด์ โปรตีนมีหน้าที่สำคัญต่อโครงสร้างและกิจกรรมภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด รวมทั้งไวรัสด้วย โปรตีนในอาหารนั้นเป็นแหล่งของกรดอะมิโน ให้แก่สิ่งมีชีวิตแต่สุนัขไม่สามารถสังเคราะห์กรดอะมิโนเหล่านั้นได้เอง ต้องอาศัยการได้รับผ่านอาหารที่กินเข้าไป ผ่านทางเนื้อสัตว์ ผลผลิตจากสัตว์(เช่น ไข่,นม) ผลพลอยได้จากสัตว์ ซึ่งโปรตีนแต่ละชนิด ไม่ได้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพของสุนัข ขึ้นอยู่กับ เอนไซม์ หรือระบบย่อยในร่างกาย ขนาดของอาหาร เช่นสุนัขไม่ได้มีความสามารถในการย่อยหรือดูดซึม ขน เล็บ กระดูกทั้งหมดที่กินเข้าไปได้ หรือแม้กระทั่งชิ้นเนื้อซึ่งอุดมไปด้วยกรดอะมิโน ที่มีประโยชน์ หากมันกินเข้าไปเป็นปริมาณมากเกินประสิทธิภาพในการย่อย ก็จะออกมาเป็นของเหลือ ที่มีกลิ่นเหม็น เพราะ ระบบการดูดซึม ของสุนัข นั้นไม่เหมือนมนุษย์ ด้วยลำไส้ที่สั้นกว่ามนุษย์ เกือบ 4 เท่า(สุนัขประมาณ 1.5 เมตร มนุษย์ประมาณ 6 เมตร) พื้นที่ผิวในการรับเอาสารอาหารจึงต่ำกว่ามนุษย์ ดังนั้นต่อ 1 มื้ออาหารที่มนุษย์พยายามยัดเยียดสารอาหารที่คิดว่ามีคุณภาพสูงที่สุด ดีที่สุด นั้นไม่ได้มีประโยชน์ไปกว่าการเลือกอาหารที่มีคุณภาพสูงในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากไป ไม่น้อยไป

จะพยายามเรียบเรียง และรวมเป็นบทความยาวๆ ให้ได้อ่านกันเรื่อยๆ ครับ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง+ประสบการณ์ และความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งผู้อ่านสามารถเลือกเอา ประโยชน์จากบทความเหล่านี้ไปใช้ได้ตามแนวทางของตัวเอง ยังงัยจะพยายามเข้ามาเขียนให้ได้ทุกๆวัน จนกว่าจะจบ

ไขมัน
ไขมัน เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในฐานะที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญเช่นเดียวกับคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน โดยไขมันสามารถให้พลังงานได้มากถึง 9 แคลอรี่ต่อกรัมซึ่งมากกว่าคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน (ซึ่งให้พลังงาน 4 แคลอรี่ต่อกรัม)

ไขมันในอาหารคือการที่สารอาหารชนิดนี้เป็นแหล่งของกรดไขมันจำเป็นเช่น linoeic acid และ linolenic acid ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโต การรักษาสมดุลของผิวหนัง ควบคุมการเผาผลาญคอเลสเทอรอล และยังเป็นสารตั้งต้นในการผลิต postagladin ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของร่างกาย ไขมันยังมีหน้าที่ในการลำเลียงและการดูดซึมของวิตามินชนิดที่ละลายในไขมันได้แก่ A, D, E และ K รวมทั้ง carotenoids ด้วย ในบางกรณีไขมันจากอาหารยังเป็นวิตามินเองด้วย เช่น น้ำมันถั่วเหลืองเป็นแหล่งสำคัญของ วิตามิน E

ร่างกายสุนัขสะสมไขมันไว้ภายในเซลล์ไขมัน (adipose cell) แต่ก็สามารถพบไขมันบางส่วนในเลือดและเซลล์อื่นๆได้ด้วย การสะสมไขมันในร่างกายมิใช่เพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยรองรับและป้องกันอวัยวะภายในต่างๆอีกด้วย

ไขมันประกอบไปด้วยธาตุหลัก 3 ชนิด ได้แก่ คาร์บอน ไฮโดรเจน และ ออกซิเจน เช่นเดียวกับคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน อย่างไรก็ตามไขมันมีองค์ประกอบเป็นคาร์บอนและไฮโดรเจนแต่มีออกซิเจนน้อย ดังนั้นไขมันจึงให้พลลังงานมากถึง 9 แคลอรี่ต่อกรัม

ไขมันจะประกอบขึ้นด้วยกรดไขมัน (Fatty acids) ชนิดต่างๆที่มีลักษณะทางกายภาพและมีผลต่อร่างกายแตกต่างกันไป ไขมันยังสามารถแบ่งตามการมีพันธะคู่ของคาร์บอนอะตอมภายในกรดไขมันได้แก่

1.กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acids) ซึ่งไม่มีพันธะคู่ระหว่างอะตอมของคาร์บอน ปกติพบได้ในไขมันจากสมองสัตว์หรือเครื่องในสัตว์ น้ำมันไก่ น้ำมันหมู หรือน้ำมันสัตว์ยกเว้น ปลา กรดไขมันชนิดนี้จะมีสถานะอันเฉื่อยเนือยในกระบวนการเคมีของร่างกาย ถ้าไม่ถูกย่อยไปใช้เป็นพลังงานก็มีแนวโน้มที่จะตกตะกอนในหลอดเลือด ทำให้ไขมันในเลือดสูงการ ได้รับไขมันชนิดนี้มากเกินความต้องการ อาจเกิดลักษณะการเติบโต อย่างไม่ปกติได้ รวมถึงโรคหัวใจ และตับ อาการไขมันพอกที่ตับ ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ

2.กรดไขมันไม่อิ่มตัว(unsaturated fatty acid) จะมีอะตอมของคาร์บอนที่เรียงตัวกันเกิดมีบางตำแหน่งที่จับไฮโดรเจนไม่เต็มกำลังเกิดมีแขนคู่ (double bond) อยู่บางตำแหน่ง ทำให้มันมีความว่องไวในปฏิกิริยาทางเคมีพร้อมที่จะเปิดรับปฏิกิริยาต่าง ๆ ด้านหนึ่งก็เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย การบริโภคไขมันชนิดนี้จะช่วยให้ คอเลสเตอรอลในเลือดลดลงแต่อีกด้านหนึ่งก็พร้อมที่จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกลายเป็นอนุมูลอิสระตัวก่อปัญหาทางสุขภาพ

2.1กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เรียกว่า monounsaturated fatty acid (MUFA) เป็นกรดไขมันที่มีธาตุคาร์บอนต่อกันด้วยพันธะคู่เพียงหนึ่งตำแหน่ง การรับอาหารไขมันประเภทนี้ ทดแทนไขมันอิ่มตัวจะช่วยลดระดับ LDL Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบ
* อาหารที่มีกรดไขมันชนิด MUFA ได้แก่ อะโวคาโด ถั่วลิสง น้ำมันมะกอก คาโนลา และน้ำมันปลา โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก

2.2กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เรียกว่า polyunsaturated fatty acid (PUFA) หมายถึง กรดไขมันที่มีธาตุคาร์บอนต่อกันด้วยพันธะคู่อยู่หลายตำแหน่ง หากรับไขมันอิ่มตัว จะไม่เพิ่มระดับไขมันในร่างกาย
* อาหารที่มีไขมันชนิด PUFA ได้แก่ น้ำมันพืชทั้งหลาย เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน และน้ำมันดอกคำฝอย

พึงมีข้อระวังอย่างหนึ่งว่า น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวยิ่งสูง ยิ่งไวต่อการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เกิดเป็นอนุมูลอิสระอันเป็นสารพิษที่บั่นทอนสุขภาพ โดยเฉพาะการทำให้ร้อนจัด เช่น การทอด ร้อนจัด หรือใช้เป็นน้ำมันทอดซ้ำ ๆ เพราะความร้อนในการทอดครั้งแรกก็ได้ทำลายแขนคู่ในน้ำมันไปแล้วดังนั้นจึงไม่ควรปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงจัดเกินไป